วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เทศกาลหน้ากากที่เวนิส(Mascara Carnival and Mask Dancing in Venice)


โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร


เมืองเวนิส
ยุคโรมันกลุ่มคนที่หนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางอ่าวที่รกร้างเงียบสงบ ใช้น้้าเป็นปราการป้องกันการบุกรุก
เมืองเติบโตขึ้นและขยายตัว ชาวเมืองตอกเสาเข็มไม้จ้านวนมากลงไปในทะเลซึ่งเป็นดินเลนอ่อนนุ่ม
จนสร้างบ้านขึ้นเป็นกลุ่มๆ
เกิดเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยเชื่อมต่อกันด้วยสะพานข้ามคลอง


หลังยุคโรมันล่มสลาย
เวนิสขยายตัวขึ้นเมื่อรัฐเล็กๆ แยกตัวเป็นอิสระปกครองตัวเอง
เก่งเรื่องการค้าทางทะเล มีกองเรือสินค้าใหญ่โตจนเป็นศูนย์กลางการค้าขายแถบทะเลเอเดรียติก
เป็นเมืองท่าของอิตาลีค้าขายกับพ่อค้าอาหรับก่อนใคร
เวนิสบ้านเกิดของ “มาร์โคโปโล” นักผจญภัยชื่อดังที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมไปถึงเมืองจีน
ท้าให้เกิดการถ่ายเทวัฒนธรรมจากตะวันออกสู่ตะวันตก
สปาเก็ตตี้ ของชาวอิตาเลียนมีต้นก้าเนิดมาจากเส้นบะหมี่ที่เมืองจีน


ยุครุ่งเรืองของเวนิส
เวนิสเจริญสูงสุดช่วงสงครามครูเสด ในฐานะเป็นจุดแวะพักของเหล่านักรบชาวคริสต์ท้าให้การค้าขายเจริญ
ผู้ปกครองอนุญาตให้ทหารครูเสดตั้งกองเรือ 500 ล้า เพื่อปล้นสะดมกรุงคอนสเตนดิโนเปิลและฆ่าชาวเมืองอย่างโหดเหี้ยม
เมืองเวนิสได้ส่วนแบ่ง 1 ใน 4 ของทรัพย์สิน ท้าให้กลายเป็นขุมทรัพย์ส้าคัญที่รวบรวมเอาเพชรนิลจินดาและงานศิลปะจากการปล้นสะดม
เบื้องหลังทรัพย์สินมหาศาล คือ เลือดเนื้อของผู้คนซึ่งสร้างบาดแผลในใจมาจนถึงทุกวันนี้
เวนิสจึงเป็นเสมือนหน้ากากที่ซุกซ่อนเรื่องราวไว้มากมาย


ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก เวนิส(Venice) หรือ “เวเนเซีย” (Venezia) ในภาษาอิตาลี
สวรรค์ของนักท่องเที่ยวปีละกว่า 3 ล้านคนจากทุกมุมโลกที่ต้องบันทึกรอยทรงจ้าไว้ในแผนการเดินทาง
เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองลอยน้้า ที่ประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากถึง 117 เกาะ เชื่อมติดต่อกันด้วยสะพาน กว่า 400 แห่ง
เป็นชุมชนขนาดใหญ่สวยงามและโรแมนติกริมคลอง(ที่เป็นน้าทะเล) ประมาณ 150 คลอง
โบสถ์มากถึง 56 แห่ง โรงละคร 7 โรง พระราชเก่าและพิพิธภัณฑ์อีก 4 แห่ง
-สิงห์มีปีกสัญลักษณ์ของเวนิส
-ศิลปะเวนิส คล้ายตึกไทยคู่ฟ้า ท้าเนียบรัฐบาล


ด้านหน้าวิหาร
จัตุรัสขนาดใหญ่ ศูนย์รวมของทุกอย่าง
„เวนิส‟ เป็นทั้งห้องรับแขกต้อนรับทุกคนที่ไปถึง จุดนัดพบ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สถานที่ชมโบราณสถาน ที่รวมตัวของศิลปินนัดวาด นักเขียน นักร้อง นักดนตรี ฯลฯ ที่มาแสดงอารมณ์สุนทรีผ่านงานหลากหลายรูปแบบ
นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ผ่านมาถึงจตุรัสซานมาร์โคทรงประทับใจกับความงดงามถึงขนาดออกปากว่าที่นี่คือ The finest drawing room in Europe. (ห้องรับแขกสวยที่สุดของยุโรป)
วังดูเคล (Palazzo Ducaleหรือ Doge's Palace) ของผู้ปกครองเวนิสในอดีต

-“สะพานสะอื้น”(Bridge of Sighs) ทอดข้ามคลองด้านหลังวังเจ้าเมือง


น้้าท่วมเวนิสทุกปี
สภาพบ้านเรือนของชาวเวนิส อาคารบ้านเรือน ตึกใหญ่โตทั้งหลายสร้างอยู่บนตอม่อล้วนๆ ไม่ได้มีผืนดินรองรับเลย
ดังนั้นเมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆและน้้าทะเลมีระดับสูงขึ้น เวนิสจึงประสบปัญหาน้้าท่วมแทบทุกปี
คาดกันว่าวันหนึ่งเวนิสอาจเป็นเมืองที่จมหายไปใต้ทะเล




ถ้าขี้เกียจเดิน
อยากจะนั่งบนเรือกอนโดลาสัญลักษณ์ของเวนิสก็เตรียมเงิน
ค่าฝีพายหล่อๆพร้อมเรือขนาด 6 ที่นั่งระหว่าง 80-200 ยูโรต่อคนขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจรจาต่อรองและท้าเลไหน
ถ้าเป็นคิวเรือแถวริมคลองใหญ่(Grand Canal)ก็แพง
อัตรานี้เป็นค่าบริการเพียง 30 นาที
นั่งจากปากคลองใหญ่ไปเที่ยวโบสถ์ซานตามาเรียที่อยู่ใกล้ๆก็แทบจะหมดเวลาแล้ว


การได้มีประสบการณ์นั่งเรือกอนโดลาเป็นสิ่งที่ต้องท้าสักครั้งในชีวิต
ไปถึงเวนิสแล้ว ถ้าไม่ได้นั่ง กอนโดลา ไม่ได้เข้าไปชม โบสถ์ซานมาร์โค (เซนต์มาร์ค) ไม่ได้ไปนั่งจิบกาแฟอร่อยที่ ร้านฟลอเรียน ข้างจตุรัส และไม่ได้ไปเดินเล่นถึง สะพานริอัลโต(Rialto)
ก็ยังไม่ถือว่าไปเที่ยวเวนิส
แต่แพงมาก +++


เสน่ห์เรือกอนโดลา
เมื่อก่อนการนั่งเรือกอนโดลาเลาะเลี้ยวไปตามซอกซอยคลองเล็กคลองน้อยในเวนิสนั้นมีเสน่ห์และเต็มเปี่ยมด้วยความโรแมนติกจริงๆ เพราะฝีพายหนุ่มหล่อนอกจากจะอวดหน้าตาให้ชื่นใจแล้วยังร้องเพลงกล่อมไปด้วยตลอดทาง
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวมากขึ้นต้องเร่งท้าเวลา คนพายเรือก็ไม่ค่อยร้องเพลงแล้ว
เล่าต้านานเรื่องเมืองและตึกส้าคัญสองฟากฝั่งที่เรือแล่นผ่านแทน



คนไทยฉลาดกว่า
ฝรั่งบางคนยอมจ่ายค่าเรือแพงๆเพื่อแลกกับ“ครั้งหนึ่งในชีวิต”
คนไทยฉลาดกว่า ประหยัดแล้วยังได้บรรยากาศการนั่งเรือเที่ยวคลองด้วย ใช้บริการเรือข้ามฝั่งคลองในจุดที่ไม่มีสะพานข้ามแทน
ค่าโดยสารเพียง 50 เซ็นต์ หรือไม่เกิน 1 ยูโร
ส่วนใหญ่เป็นเรือกอนโดลาเก่าที่ปลดระวางแล้ว เพียงแต่ระยะเวลานั่งอาจจะแค่ไม่กี่นาที
ปัจจุบันเรือกอนโดลาใกล้จะกลายเป็นต้านานของเวนิสไปแล้วเพราะช่างท้าเรือเหลืออยู่น้อยมากแทบจะนับคนได้

กอนโดลาทุกล้าออกจากอู่ต่อเรือแห่งเดียวที่เหลืออยู่ ซึ่งจะใช้เวลาสร้างล้าละ 4 เดือนและอายุใช้งานนาน 20 ปี ราคาพอๆกับรถเก๋งยุโรป 1 คัน
กอนโดลาจะมีขนาดและรูปลักษณ์เหมือนกันตามข้อบังคับของสภาเมืองเวนิสที่ให้ใช้เฉพาะสีด้าเท่านั้นเพื่อให้ขลังเข้ากับบรรยากาศของเมืองเป็นสัญลักษณ์ที่ยั่งยืนของเวนิสตลอดไป


บริการเรือเมล์มีหลายอัตรา เที่ยวเดียว 6 ยูโร ถ้าเป็นแบบกี่เที่ยวก็ได้ภายใน 12 ชั่วโมงราคา13 ยูโร
มีอัตราแบบ 24 ชม. 48 ชม. 72 ชม. ด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเดินเท้ามากกว่า







สะพานริอัลโต(Rialto)
เดิมเป็นสะพานไม้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันปรับปรุงซ่อมแซมใหม่เป็นสะพานหินแข็งแรง ที่มีความส้าคัญเพราะเป็นสะพานข้ามคลองใหญ่(Grand Canal)เพียงแห่งเดียวมายาวนานเป็นพันปี จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1854 จึงมีการสร้างสะพานแห่งใหม่เพิ่มขึ้น
จากสะพานแห่งนี้จะมองเห็นวิวสวยมุมกว้างสวยๆของคลองใหญ่ได้ดี และบริเวณรอบๆ สะพานจะมีร้านขายของที่ระลึกมากมายแถมยังอยู่ใกล้ตลาดสดด้วย ใครอยากได้บรรยากาศเที่ยวตลาดของฝรั่งก็ต้องไปเดินแถวนั้น


เทศกาลสวมหน้ากาก
งาน “เวนิส คาร์นิวัล” มีมาตั้งแต่ปี 1268 แล้ว
การเฉลิมฉลองโดยมีสวมหน้ากากรวมถึงแต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างอลังการเพิ่งจะมีขึ้นในเกือบสองร้อยปีให้หลัง เมื่อช่างท้าหน้ากากหรือ “mascareri” รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1436


หน้ากากกับวิถีชีวิตของชาวเวนิส
คริสต์ศตวรรษที่ 18 ถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองของการสวมหน้ากาก ชาวเวนิสสวมหน้ากากจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจ้าวัน คนในสาธารณรัฐเวนิสสวมหน้ากากออกจากบ้านถึงปีละ 8 เดือนท้าให้เมืองเวนิสเต็มไปด้วยเสน่ห์ลึกล้้า เมื่อผู้คนไม่ว่ายากดีมีจนซ่อนหน้าตาสถานะของตนไว้ภายใต้หน้ากาก และใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงแบบไม่ต้องแคร์ใคร
บางครั้งก็เพื่อมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยไม่กลัวว่าใครจะจำได้


การสิ้นสุดและการย้อนยุคของวัฒนธรรมหน้ากาก
หลังการยึดครองของกองทัพนโปเลียนในค.ศ. 1797 เมืองเวนิสกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลอมบาร์ดี-เวเนเทีย(Lambardi–Venetia) ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
นโปเลียนสั่งห้ามการจัดงานเฉลิมฉลองงานรื่นเริงเป็นเวลาหลายปี ผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หน้ากากเปเปอร์มาเช่เพื่อปกปิดหน้าตา และงานเต้นร้าสวมหน้ากากก็ถูกห้าม
ในทศวรรษที่ 1970 ประเพณีดังกล่าวถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มของอดีตนักศึกษาอคาเดมี ออฟ ไฟน์ อาร์ต (Academy of Fine Art)เปิดร้านขายหน้ากากสมัยใหม่แห่งแรกของกรุงเวนิสขึ้นในปี1978



หน้ากากที่สวมในคาร์นิวัลของเวนิส
หน้ากากแบบ Commedia dell'Arteซึ่งเป็นละครตลกในศตวรรษที่ 16-18 จะเป็นหน้ากากที่ท้าขึ้นตามตัวละครเช่นตัวตลกอย่าง ฮาร์เลควิน กับ ปิเอโรต์
หน้ากากแฟนตาซี ประดิษฐ์ขึ้นตามจินตนาการของช่างท้าหน้ากาก ส่วนใหญ่จะได้รับแรงบันดาลใจมาจากการศิลปะการออกแบบในประวัติศาสตร์
หน้ากากแบบดั้งเดิมของชาวเวนิส เช่น หน้ากากขาวปลายแหลมคล้ายปากนก ซึ่งเป็นหน้ากากที่พวกหมอเคยใช้ในสมัยที่กาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ช่วงศตวรรษที่ 14 และจะใส่สมุนไพรเอาไว้ที่ปลายแหลม เพื่อฆ่าเชื้อในอากาศที่สูดเข้าไป


Venetian Carnival Masks
Masks have always been a central feature of the Venetiancarnival; traditionally people were allowed to wear them between the festival of Santo Stefano (St. Stephen's Day, December 26) at the start of the carnival season and midnight of Shrove Tuesday. They have always been around Venice. As masks were also allowed during Ascensionand from October 5 to Christmas, people could spend a large proportion of the year in disguise . Maskmakers (mascherari) enjoyed a special position in society, with their own laws and their own guild.


Venetian masks
Venetian maskscan be made in leather or with the original papier-mâché technique. The original masks were rather simple in design and decoration and often had a symbolic and practical function. Nowadays, most of them are made with the application of gessoand gold leafand are all hand-painted using natural feathers and gems to decorate.


Bauta
Bauta isa "mask which covers the whole face, witha stubborn chin line, no mouth, and lots of gilding".
 One may find masks sold as Bautas that cover only the upper part of the face from the forehead to the nose and upper cheeks, thereby concealing identity but enabling the wearer to talk and eat or drink easily.
 It tends to be the main type of mask worn during the Carnival.




Bauta
It was used also on many other occasions asa device for hiding the wearer's identity and social status.
It would permit the wearer to act more freely in cases where he or she wanted to interact with other members of the society outside the bounds of identity and everyday convention.
It was thus useful fora variety of purposes, some of them illicit or criminal, others just personal, such as romantic encounters.


Moretta
The morettais an oval mask of black velvet that was usually worn by women visiting convents.
It was invented in France and rapidly became popular in Venice as it brought out the beauty of feminine features.
The mask was finished off with a veil, and was secured


Larva
The larva, also called the mask, is mainly white, and typically Venetian. It is worn with a tricornand cloak.
It is thought the word larvacomes from the Latin meaning "mask" or "ghost".
Like the bauta, the shape of the mask allowed the bearer to breathe and drink easily, and so there was no need to take it off, thus preserving anonymity.
These masks were made of fine wax cloth and so were much lighter and were not irritating to wear making them ideal for eating, dancing and flirting.


คาร์นิวัลสวมหน้ากากของชาวเวนิส
ถนนในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี คลาคล่้าไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกที่อยากจะสัมผัสกับมนตราแห่งศตวรรษที่ 18 ในเทศกาลสวมหน้ากากประจ้าปีของเมืองในปี2002"เวนิส คาร์นิวัล" เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในเที่ยงวันของวันอาทิตย์ (30มกราคม ) และจะมีไปเรื่อยๆจนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ แต่ก็มีหลายๆ คนเหมือนกันที่ร่วมฉลองเทศกาลล่วงหน้าในบรรยากาศชวนฝัน เมื่อค่้าวันเสาร์


เที่ยวเวนิสให้สนุกให้เดินทางไปในช่วงงานเทศกาลมาดิกราส์ หรือคาร์นิวัล ซึ่งเป็นประเพณีสวมหน้ากากที่เก่าแก่และสนุกสนานรื่นเริงมาก งานนี้จะมีขึ้น 41 วันก่อนอีสเตอร์ของทุกปี
ส้าหรับปี2008 เวนิสคาร์นิวัลจัดขึ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคมถึง 5 กุมภาพันธ์ 2551


Themeของงาน
เทศกาลคาร์นิวัลมักจัดขึ้นนานเป็นสัปดาห์
แต่ละปีจะจัดขึ้นภายใต้ธีมต่างๆ ไม่ซ้้ากันท้าให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองนับแสนต่างเฝ้าคอยที่จะชมความแปลกใหม่ที่จะเกิดขึ้นทุกปี
โดยในปีนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9-20 ก.พ. ที่ผ่านมา ภายใต้ธีม Carlo Goldoniซึ่งเป็นนามของนักประพันธ์บทละครชื่อดังของเวนิสในสมัยยุคบาโรก (Baroque)หรือประมาณ 400 ปีล่วงมา
ปี 2006 จัดภายใต้ธีม "The Dragon and the Lion"

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก Googleและ Wikipedia เป็นอย่างยิ่ง)


คำนำ


คำนำ

เอกสารคำสอนวิชา HT 325 ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการนำเที่ยวนี้ พัฒนามาจากเอกสารประกอบการสอนที่แจกให้นักศึกษาในชั้นเรียนระหว่างปีการศึกษา 2549-2551 ถือเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาเลือกสายอาชีพตามหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (การท่องเที่ยวและการโรงแรม) คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ขอบเขตของการศึกษาวิชาดังกล่าวเป็นเรื่องของศิลปะและวัฒนธรรมตะวันตกที่เกี่ยวข้องกับการนำชมแหล่งท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมถึงแนวคิดและรูปแบบสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน
เนื้อหาของเอกสารคำสอนนี้ประกอบด้วยเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุโรป             อารยธรรมในเอเชียไมเนอร์และแอฟริกาเหนือ: รากเหง้าความเจริญของชาวตะวันตก ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกยุคคลาสสิก(กรีก-โรมัน) ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกแบบไบแซนไทน์ ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกสมัยกลาง ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และสมัยบารอค-รอคโคโค ศิลปะตะวันตกสมัยใหม่ระยะแรก  ศิลปะตะวันตกสมัยใหม่กลุ่มลัทธิอิมเพรสชันนิสม์  ศิลปะตะวันตกยุคหลังลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ศิลปะตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่1  ศิลปะตะวันตกครึ่งหลังคริสตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบันและแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในยุโรป โดยอ้างอิงจากหนังสือ เอกสาร ตำราและข้อมูลในสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง จึงขอขอบคุณผู้สร้างสรรค์แหล่งข้อมูลข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง
การศึกษาศาสตร์ใดๆ ให้เกิดความรู้อย่างลึกซึ้ง  จำเป็นต้องอาศัยหัวใจนักปราชญ์ในทางพุทธศาสนา คือ สุ(สุต-ฟัง) จิ(จินตนาการ-คิด) ปุ(ปุจฉา-ถาม)และลิ(ลิขิต-เขียน)เป็นเครื่องมือสำคัญ ดังนั้น แม้ว่าเนื้อหาของเอกสารคำสอนนี้จะครอบคลุมมิติทางด้านเวลาตั้งแต่อดีตสมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงปัจจุบันนานนับล้านปี แต่หากผู้เรียนมีความตั้งใจใฝ่รู้และพยายามสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ เรื่องราวต่างๆ ตามขอบเขตเนื้อหาข้างต้น ก็จะสามารถเข้าถึงสัมฤทธิผลทางการเรียนได้อย่างน่าภาคภูมิใจ รวมทั้งยังอาจได้พัฒนารสนิยมที่มีต่อความชื่นชมทางศิลปะต่อไปอย่าง               สืบเนื่องด้วย  ทั้งนี้ หากผู้อ่านพบว่าเนื้อหาตอนใดในเอกสารคำสอนนี้มีความผิดพลาดก็ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนที่จะต้องแก้ไขต่อไป


พิทยะ ศรีวัฒนสาร

บทที่ 10 แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในยุโรปและเอเชียไมเนอร์



โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร 
ประเทศอิตาลี
ประเทศอิตาลีมีอาณาเขตทิศเหนือติดกับออสเตรีย ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และสโลเวเนีย ทิศใต้มีน้ำของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนล้อมรอบทั้งหมด แผนที่ของประเทศอิตาลีมีรูปทรงคล้ายรองเท้าบู๊ตที่ยื่นลงมาในทะเล ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของอิตาลีเป็นเทือกเขาและที่ราบสูง โดยมีเทือกเขาแอลป์กั้นอิตาลีออกจากประเทศอื่นๆ ในยุโรป และเทือกเขาเอพเพนไนน์เป็นเหมือนกระดูกสันหลังทอดยาวจากเหนือลงสู่ใต้ อิตาลีมีที่ราบลุ่มริมแม่น้ำประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีขนาดใหญ่ที่สุด
อิตาลีมีสำคัญคือ เกาะซาร์ดีเนีย (Sardegna) ซิซิลี (Sicilia) เอลบา (Elba) และคาปรี (Capri) อิตาลีตั้งอยู่ในเขตอบอุ่น มีแสงอาทิตย์ส่องสว่างอากาศแจ่มใส รูปทรงยาวยื่นลงไปในทะเลขณะที่มีส่วนบนติดกับเทือกเขาแอลป์ ทำให้อิตาลีมีภูมิอากาศที่หลากหลาย ทางตอนเหนืออากาศเย็น มีหิมะตกในช่วงหน้าหนาวทว่าร้อนจัดในช่วงหน้าร้อน ในขณะที่ทางใต้อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดพาเอาความร้อนและชื้นเข้ามาในช่วงฤดูร้อน

ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของอิตาลีย้อนหลังไปได้หลายพันปี นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยอนารยชน จนถึงสมัยพวกอีทรัสกันที่ครอบครองทางตอนเหนือของอิตาลีและเป็นแหล่ง             อารยธรรมแห่งแรกบนคาบสมุทรจนกระทั่งการก่อกำเนิดของอาณาจักรโรมันอันมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมในราว 800 ปีก่อนคริสตกาล
ในยุคกลาง พระสันตะปาปาทรงมีอำนาจเพิ่มขึ้น โดยมีบทบาททั้งในทางทหารและการปกครอง พระองค์ทรงนำดินแดนอิตาลีส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรพรรดิชาร์ลมาญของพวกแฟรงก์ แต่การเข้าร่วมนี้ก็เป็นเพียงในนาม เพราะในทางปฏิบัติ ดินแดนในคาบสมุทรอิตาลีก็ยังแบ่งแยกออกไปเป็นแว่นแคว้นมากมายและตกอยู่ใต้อิทธิพลของหลายชาติ เช่น สเปน ฝรั่งเศส หรือออสเตรีย รัฐเล็กๆ ทางตอนเหนือบางรัฐพัฒนาความสำคัญของผู้ปกครองรัฐตนเพื่ออิสรภาพและความมั่งคั่งในช่วงการทำสงครามครูเสด โดยเฉพาะรัฐที่เป็นเมืองท่า เช่น เวนิส เจนัว มิลาน ฟลอเรนซ์ ฯลฯ และต่อมาผู้ปกครองรัฐเหล่านี้ได้มีบทบาทอย่างยิ่งในยุคการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ราวศตวรรษที่ 14 เพราะเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับศิลปินและนักวิชาการแขนงต่างๆ
เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 15 เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐต่างๆ ในคาบสมุทร และโรมปฏิเสธการร่วมสู้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นในโรม พระสันตะปาปาต้องเสด็จฯหนีและขอให้จักรวรรดิออสเตรียกับพันธมิตรยกทัพมาช่วย ในที่สุดพระสันตะปาปาก็ได้ดินแดนส่วนพระองค์กลางโรมแยกออกมาเป็น Papal State ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับประเทศใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นและฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลเหนือดินแดนโรม ในขณะที่ออสเตรียยังครอบครองเวนิชซึ่งถือเป็นทางออกทะเลที่สำคัญ
ในปีค.ศ.1796 นโปเลียน โบนาปาร์ตแห่งฝรั่งเศสได้สถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิของแว่นแคว้นและรัฐต่างๆของอิตาลี รัฐต่างๆจึงถูกรวมเข้าด้วยกัน เมื่อนโปเลียนก็ถูกกำจัดออกจากยุโรป จักรวรรดิออสเตรียพยายามเข้ามาปกครองคาบสมุทรอิตาลีแต่ถูกต่อต้านจากกลุ่มชาตินิยมของเจ้าผู้ครองท้องถิ่นซึ่งพยายามจะตั้งประเทศอิสระขึ้น  พระสันตะปาปาทรงเข้ากับออสเตรีย
แม้อิตาลีจะเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมโรมัน ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานสำคัญของ            อารยธรรมตะวันตก แต่ประวัติศาสตร์ของอิตาลีหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เพราะแบ่งดินแดนถูกแบ่งเป็นรัฐและแคว้นที่อิสระ ไม่ได้รวมเป็นชาติจนกระทั่งเมื่อเพียง 200 กว่าปีมานี้
พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลแห่งซาร์ดีเนีย (Victor Emmanuel of Sardinai)                ทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างประเทศอิตาลี โดยมีคาวัวร์ (Cavour) เป็นผู้ดำเนินการทางการเมืองและการทูต และการิบัลดี (Garibaldi) ดำเนินการทางทหารโดยนำกองทัพเข้าตีเมืองต่างๆ ที่ไม่ยอมโดยดีให้เข้าอยู่ภายใต้การปกครองของซาร์ดีเนีย จนในปีค.ศ.1861 ราชอาณาจักรอิตาลี          ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยพระจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ของประเทศอิตาลี  ช่วงแรกกรุงโรมยังเป็นดินแดนอิสระหลังจากนั้นอีก 10 ปีจึงเข้ารวมกับอิตาลี
แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
สนามกีฬา Colosseum (กรุงโรม)
สร้างขึ้นในระหว่างพ.ศ.615 ถึง 623 (ค.ศ.ที่ 72-80) โดยจักรพรรดิ Titus Vespasian มีลักษณะเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร             สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 67,000-80,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิตและสิงโตหลายร้อยห้อง Colosseumใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิต หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปีๆหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันโบราณ

File:Colosseum in Rome, Italy - April 2007.jpg

โคลอสเซียม หรือ Templum Pacis (Latin, "Temple of Peace")
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Colosseum)

ประตูชัยคอนสแตนติน (The Arch of Constantine seen from the Colosseum)
ประตูชัยคอนสแตนตินเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและเป็นที่มาของคำว่า ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรมตั้งอยู่ระหว่าง the Colosseum และภูเขาPalatine สร้างขึ้นเมื่อค.ศ.315 เพื่อเป็นที่ระลึกในชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่1 (Constantine I ) ที่ทรงมีชัยชนะเหนือ แมกเซนทิอัส (Maxentius) ที่สะพานมิลเวียน (the Battle of Milvian Bridge) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.315

File:Archofconstantine.jpg
The Arch of Constantine seen from the Colosseum
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Arch_of_Constantine)

  
น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain)
สูง 25.9 เมตร กว้าง 19.8 เมตร เป็นจุดกำเนิดของเสียงเพลงทรี คอยน์ ออฟ เดอะ ฟาวด์เท่น-Thee Coins of the Fountain)” ที่โด่งดัง ชมความสวยงามของงานประติมากรรมหินอ่อนแบบบารอค ซึ่งเป็นเรื่องราวของเทพมหาสมุทร ตำนานกล่าวว่าหากใครได้มาถึงน้ำพุแห่งนี้แล้วโยนเหรียญอธิษฐานทิ้งไว้จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้ง


File:Trevi Fountain, Rome, Italy 2 - May 2007.jpg


น้ำพุเทรวี
  
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างในศิลปะ Renaissance เกี่ยวเนื่องมาถึงสมัย Baroque ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกัน โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ ค.ศ.1506 เป็นต้นมา สร้างทับวิหารเดิมที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในกรุงโรม มีเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ จุคนได้กว่า 60,000 คน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งนิกายโรมันคาทอลิก เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของนักบุญปีเตอร์หนึ่งในสาวกสิบสององค์ของพระเยซู นักบุญปีเตอร์เดิมเป็นบาทหลวงองค์แรกของอันติโอก(Antioch) ต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็น                        พระสันตะปาปาองค์แรกของโรม  จึงเป็นประเพณีกันต่อมาว่าพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่วิหารแห่งนี้เช่นกัน   สถาปนิกผู้สร้างมหาวิหารแห่งนี้ ประกอบด้วย Donato Bramante, Antonio da Sangallo the Younger, Michelangelo, Vignola Giacomo della Porta, Carlo Maderno และGianlorenzo Bernini


File:Giovanni Paolo Panini - Interior of St. Peter's, Rome.jpg


The interior of St. Peter's Basilica by Giovanni Paolo Pannini

 หอเอนเมืองปิซา
หอเอนแห่งเมืองปิซา เป็นหอคอยหินอ่อนสูง 54 เมตร (181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ.1717 (ค.ศ.1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ.1839 (ค.ศ.1350) ใช้เวลานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร (14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ (Galileo Galilei)นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน  ทดลองเรื่องความเร็วของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง


File:Leaning tower of pisa 2.jpg

Leaning Tower of Pisa
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Leaning_Tower_of_Pisa)

เมืองเวนิส
เมืองท่องเที่ยวที่ได้รับการกล่าวขานว่าโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นเมืองที่ใช้เรือแทนรถ การล่องเรือกอนโดล่าใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพื่อชมมนต์เสน่ห์แห่งนครเวนิส สู่ คลองใหญ่ Grand Canal คลองที่กว้างที่สุดของเกาะ และงานก่อสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะด้านสถาปัตยกรรม ที่ สะพานเรียลอัลโต้ (สร้างโดยศิลปินเอกไมเคิลแองเจโล) ได้เวลานัดหมายนำคณะลงเรือเดินทางกลับสู่ฝั่งที่ท่าเรือตรอนเชโต้








ของที่ระลึก
เสื้อผ้าและเครื่องใช้  อิตาลีมีชื่อมากว่าเป็นที่กำเนิดของดีไซเนอร์ดังๆ ผู้ผลิตสินค้าเสื้อผ้าและเครื่องใช้ประเภทกระเป๋า รองเท้า เเว่นตา ฯลฯ โดยมีมิลานเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นในอิตาลี ชื่อ Gucci, Emporio Armani, Prada, Ferragamoฯลฯ ไปจนถึงสินค้าวัยรุ่นอย่าง Benettonเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วทั่วโลก และมีร้านอยู่ในเมืองใหญ่อย่างมิลานและโรม แต่ถ้าไม่อยากจะซื้อสินค้าราคาสูงขนาดนั้น ร้านค้าเสื้อผ้า บูติกตามเมืองต่างๆ ที่ชื่ออาจไม่เป็นที่รู้จักนักแต่ก็อาจมีสินค้าสวยๆ ได้ไม่แพ้กัน แม้กระทั่งตามตลาดหรือแผงลอยก็ยังเป็นสินค้าที่สวยงามและคุณภาพใช้ได้ทีเดียว
เครื่องหนัง รองเท้า กระเป๋า เข็มขัด ฯลฯ ที่อิตาลีจัดว่าเป็นสินค้าที่โด่งดังขึ้นชื่อ โดยเฉพาะเมืองฟลอเรนซ์
เครื่องแก้ว แก้วสีเป่าสวยงามเป็นสินค้าที่มีชื่อของเวนิสมานานหลายร้อยปี และยังเป็นที่นิยมอยู่จนทุกวันนี้ เพราะมีทั้งแบบคลาสสิกและแบบดีไซน์สมัยใหม่เฉียบ
เครื่องปั้นดินเผา เครื่องปั้นดินเผาจำพวกชาม เหยือกน้ำ ฯลฯ ระบายสีตกแต่งสวยงามเป็นสินค้าชื่อดังของแคว้นทัสคานีและซิซิลี
ครื่องประดับและเครื่องทอง เครื่องประดับที่ออกแบบสะดุดตา หรือเครื่องทองแบบโบราณที่งดงาม เมืองฟลอเรนซ์มีชื่อมากในเรื่องเครื่องทอง ในขณะที่โรมและมิลานเป็นแหล่งของเครื่องประดับสมัยใหม่
ของแต่งบ้านของดีไซน์เก๋ และเฟอร์นิเจอร์  อิตาลีเป็นเจ้าแห่งการดีไซน์เพราะฉะนั้นจึงมีสินค้าในแนวนี้มากมายทั้งแบบของเก่า และแบบใหม่ล้ำยุค
ผ้า ผ้าลูกไม้ ผ้าปักลายละเอียด หรือผ้าไหมอิตาเลียนเนื้อนุ่ม สามารถพบเห็นได้ทั่วไป

อาหาร
พิซซ่านั้นเป็นอาหารต้นตำหรับที่มาจากประเทศอิตาลีและเริ่มนิยมกัน แพร่หลายในเวลาต่อมา ชาวอิตาเลียนภาคภูมิใจในอาหารประจำชาติมากถึงกับกล่าวว่า "ร้านอาหารอิตาเลียนในอิตาลีอร่อยทุกร้าน" ในอิตาลีจะไม่ค่อยมีภัตตาคารอาหารต่างชาติให้เห็นมากนักร้านอาหารในอิตาลีมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบจะบ่งบอกถึงบริการ ลักษณะของอาหารที่เสิร์ฟ และราคาที่ผู้เข้าไปใช้บริการจะต้องพบ ร้านอาหารที่อร่อยถูกปากไม่จำเป็นจะต้องเป็นร้านอาหารหรูเสมอไป ร้านเล็กๆแบบสองคนตายาย มักจะทำอาหารได้อร่อยและมีบรรยากาศอบอุ่น อีกทั้งราคาก็ไม่แพง คนส่วนใหญ่จึงทำอาหารกินกันเองมากกว่า

สาธารณรัฐฝรั่งเศ
สาธารณรัฐฝรั่งเศสตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก พื้นที่ปัจจุบันของฝรั่งเศสประกอบด้วยเกาะและดินแดนอื่นๆต่างทวีป แผ่นดินใหญ่ประเทศฝรั่งเศสทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอเรเนียน จนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรน์ถึงมหาสมุทรแอตแลนติกชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า  หกเหลี่ยม ( L'Hexagone ) เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และพลเมือง 
ฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับเบลเยียม ลักเซมเบิร์กเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์อิตาลี โมนาโค อันดอร์ราและสเปน และยังมีดินแดนโพ้นทะเลในครอบครอง ทำให้มีอาณาเขตติดกับบราซิลและซูรินัม(ติดกับเฟรนช์ เกียอานา) และหมู่เกาะอินดีสเนเธอร์ตะวันตก  (ติดกับแซงต์มาแตง) ด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อมกับสหรชอาณาจักร(อังกฤษ)ทางอุโมงช่องแคบอังกฤษด้วย
คำว่า ฝรั่งเศส (France) มาจากภาษาละตินว่า Francis ซึ่งแปลว่า ดินแดนแห่ง แฟรงก์ (Frank land)  ในภาษาเยอรมันโบราณ แปลว่า อิสระ วิวัฒนาการมาเป็นคำว่า ฟรังก์ (Franc) ประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frank Reich แปลว่า อาณาจักรแห่ง แฟรงก์ อีกด้วยชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญ ตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี ราชสำนักฝรั่งเศสมีอำนาจสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14 ยุคนี้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ ศิลปะและวัฒนธรรมต่อยุโรปเป็นอย่างมาก  ประชากรของประเทศฝรั่งเศสนั้นมีประมาณ 64.5 ล้านคน มากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก เมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากได้แก่ปารีส มาร์เซยลส์ ลียง ตูลูส ฯีซ นองต์ ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน ส่งผลไปถึงประเทศอาณานิคมด้วย

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

หอไอเฟล (Tour Eiffel)
ลักษณะเป็นหอคอยโครงสร้างเหล็ก ตั้งอยู่ในย่านChamp de Mars ริมฝั่งแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส จัดเป็นสถานที่และสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสก่อสร้างในปี พ.ศ.2432             โดยกุสตาฟไอเฟล ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปีค.ศ.1889 ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม หอไอเฟลสร้างจากโลหะ 15,000 ชิ้น หนัก 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน็อต 2,500,000 ตัว ใช้สีทา 35 ตัน สูง 1,050 ฟุตสิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401 ฟรังก์  เมื่อแรกสร้างหอไอเฟลถูกติเตียนว่าประหลาดและไม่เข้าท่า              หอคอยไอเฟลได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในช่วงเวลาพ.ศ.2432 ถึง 2473 ในปัจจุบัน หอคอยไอเฟลนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

ไฟล์:Tour Eiffel 1878.jpg

(ที่มาhttp://th.wikipedia.org/wiki/)

พระราชวังแวร์ซายลส์
พระราชวังแวร์ซายลส์ ตั้งอยู่ในกรุงปารีสเป็นพระราชวังที่สวยงามน่ามหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่งของโลก  สร้างโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  เมื่อ ค.ศ.1661 มีอัลเครด เลอ นอสเตอ์เป็นสถาปนิก ใช้เวลาสร้าง 30 ปี รวมค่าก่อสร้าง 500,000 ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000 คน ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว ภายในพระราชวังแวร์ซายลส์ แบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง ห้องออกว่าราชการ ทุกห้องมีเครื่องประดับสูงค่ามากมายทั้งวัตถุ และภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อมากที่สุดคือห้องกระจก ซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้งฝรั่งเศส จะประกาศให้กรุงปารีสเป็นเขตปลอดทหาร เพื่อรักษาไม่ให้พระราชวังได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตี


File:Versailles Queen's Chamber.jpg

The Queen's bedchamber.
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Palace_of_Versailles)


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกตั้งอยู่ในกรุงปารีส  เปิดให้เข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ.2336 มีความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง มีผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกถูกจัดแสดงและเก็บรักษาเป็นจำนวนมากเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โดดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antiochในปี พ.ศ.2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส


Fichier:Louvre 2007 02 24 c.jpg

(ที่มา http://fr.wikipedia.org/wiki/Mus%C3%A9e_du_Louvre)

ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe de l’Étoile)
ตั้งอยู่บนถนนช็อง-เอลิเซ่ส์ ที่ตำบลเอตัวล์ บริเวณจัตุรัส แห่งดวงดาว (Place de l’Etoile) ประตูชัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์ (L’Axe historique)              ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานเมืองปารีส ประตูชัยแห่งนี้ออกแบบโดยฌอง ชาลแกร็งในปี พ.ศ. 2349 ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่และเสร็จในสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปส์ (ค.ศ.1810-1836) โดยมีประติมากรรมยุวชนชาวฝรั่งเศสเปลือยกายต่อสู้กับทหารเยอรมันซึ่งเต็มไปด้วยเคราและใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 สูง 50 เมตร หนา 50 เมตร และกว้าง 45 เมตร ที่ผนังด้านในใต้ส่วนโค้งมีการตกแต่งด้วยรูปสลักอันสวยงามต่างๆเช่น ผลงานชื่อ เดอปาร์ต เดส์ โวล็องติเอสหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ลา มาร์แซย์แยส (La Marseillaise) และผลงานเกี่ยวกับชัยชนะทางทิศตะวันตกของพระเจ้า              นโปเลียน ที่ตอนบนของส่วนโค้งเป็นภาพนูนต่ำ แสดงถึงพิธีศพของ มาร์โซ (Marceau) สงคราม  อาเล็กซานเดรีย (Alexandrie) ออสเตร์ลิทซ์ (Austerlitz)

File:Arc Triomphe.jpg

(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Arc_de_Triomphe)

ของที่ระลึก
น้ำหอม  ฝรั่งเศสนั้นมีชื่อเสียงในด้านการผลิตน้ำหอมที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโลกเลยทีเดียวใครไปเที่ยวฝรั่งเศสก็มักจะซื้อยี่ห้อที่ฝรั่งเศสเป็นต้นตำรับแล้วราคาจะถูกกว่าที่นำมาขายในต่างประเทศมาก เมืองที่มีชื่อเสียงและ มีโรงงานผลิตหัวน้ำหอมกลิ่นต่างๆได้แก่ เมืองกราส ทางตอนใต้ของประเทศ ยี่ห้อน้ำหอมที่ขึ้นชื่อที่ฝรั่งเศสเป็นต้นตำรับได้แก่ Christian Dior, Givenchy, Ruches, Guarani, Paco Rabanne
เครื่องสำอาง เครื่องสำอางนานาชนิด นับตั้งแต่ครีมบำรุงผิว แป้งฝุ่น ลิปสติกอายแชโดว์ มาสคาร่าอายไลเนอร์ ฯลฯ ที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยล้วนผลิตในฝรั่งเศสกันทั้งน้น เช่น Lancôme, or lane, Yves Saint Laurent ฯลฯ  เสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นทุกคนรู้จักฝรั่งเศสดีในนามของดินแดนแห่งแฟชั่นชั้นนำ เพราะเป็นศูนย์รวมของดีไซเนอร์ชื่อดัง และเป็นต้นฉบับของแฟชั่นทั่วโลก  ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของ Channel, Yves Saint Laurent, Nina Ricci, Guy Caroche, Pierre Cardin ฯลฯ ส่วนกระเป๋าและเครื่องหนังซึ่งคนไทยนิยมมากถึงขนาดเข้าคิวซื้อ คือ Channel และ Louis Vinton

สิ่งที่ควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติในฝรั่งเศส
1. สามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour) ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า หรือBonsoirหมายถึงสวัสดีตอนเย็น และกล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า "Au revoir"แปลว่า ลาก่อนและกล่าวขอบคุณว่า "Merci”
2วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกันไม่ว่าคู่ทักทายของคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่างๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้ง
3เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตตาคารไม่ควรตะโกนเรียกบริกรว่า"garçon"            ซึ่งถือว่าไม่สุภาพ ควรเรียกว่าเมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า “S’il vouz plait” ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวกและเสื้อคลุมเพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้ง
4สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าทำผิดกฎหมาย
5เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลาเขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง
6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้นที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับนั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง
สวิตเซอร์แลนด์
 สมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่กลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์              เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ทิศเหนือ ติดกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทิศตะวันออก ติดกับออสเตรีย และลิคเตนสไตน์ ทิศใต้ ติดกับอิตาลี ทิศตะวันตก ติดกับฝรั่งเศส พื้นที่  41,285 ตารางกิโลเมตร  เมืองหลวงชื่อ กรุงเบิร์น (Bern) มีประชากร 332,195 คน  ประชากร 7.5 ล้านคน               (ปี 2549) เป็นชาวสวิสเยอรมันร้อยละ 65 สวิสฝรั่งเศสร้อยละ 18 สวิสอิตาเลียนร้อยละ 10              โรมานช์ร้อยละ 1 อื่นๆ ร้อยละ 6
ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูงของพื้นที่ ตั้งแต่ภูมิอากาศแบบแอลป์จนถึงแบบเมดิเตอร์เรเนียน ฤดูหนาว อากาศหนาว มีฝน และหิมะ ฤดูร้อน อบอุ่น เย็นชื้น มีฝนบางครั้ง ทางตอนใต้จะมีฝนชุก ภาษาราชการมี 4 ภาษา คือ เยอรมัน (ร้อยละ 64) ฝรั่งเศส (ร้อยละ 19) อิตาเลียน (ร้อยละ 8) โรมานซ์ (ร้อยละ 1) อื่นๆ ร้อยละ 8  ประชาชนร้อยละ 48 นับถือนิกายโรมันคาธอลิก ร้อยละ 44 นับถือนิกายโปรเตสแตนท์ ร้อยละ8นับถือศาสนาอื่นๆ หรือมิได้นับถือศาสนา
สวิตเซอร์แลนด์มีการการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบสมาพันธรัฐ (Confederation) ประกอบด้วย มณฑล (Canton) 26 มณฑล ใน 3 มณฑลก็ยังถูกแบ่งออกเป็นกึ่งมณฑล (half-canton) 6 แห่ง ซึ่งมีอำนาจบริหารภายในของแต่ละมณฑล ส่วนอำนาจบริหารส่วนกลางจะอยู่ที่คณะมนตรีแห่งสมาพันธ์ (Federal Council) ซึ่งเทียบเท่ากับคณะรัฐมนตรี
สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงตั้งแต่ปี 1863 เมื่อโทมัสคุ๊ก จัดทัวร์จากอังกฤษ ซึ่งนับเป็นการจัดทัวร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การพาณิชย์ของโลก และเรื่องที่กล่าวขวัญถึงเช่น Prisoner of Chillon ของไบรอน ตลอดจนจากเรื่องราวการขับเคี่ยวของเชอร์ล็อกโฮล์มก็มีส่วนเสริมให้สวิสเซอร์แลนด์เป็นดินแดนในฝันมากขึ้น

ยุคก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสตศักราช  กลุ่มนักล่าสัตว์และคนเร่ร่อนได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alp) ปัจจุบันคือบริเวณ Graubünden ใจกลางประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก ต่อมาได้ขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ ตามพื้นที่บริเวณลุ่มทะเลสาบต่างๆ จนกระทั่งประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาลชนเผ่าเซลท์ (Celt คือกลุ่มชนชาติที่พูดภาษาเซลติก) ได้เริ่มย้ายถิ่นฐานจากทางเยอรมันตอนใต้ เข้าไปสู่พื้นที่ลุ่มทะเลสาบในตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์มากขึ้น โดยทางด้านตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่อยู่อาศัยของพวก Raetia ส่วนทางด้านตะวันตกถูกครอบครองโดยชาว Helvetii และยังมีชนเผ่าอื่นๆ ที่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นจำนวนมาก คือ ชนเผ่า Lepontier ทางแคว้น Tessin ชนเผ่า Seduner ในเขต Wallis และทะเลสาบเจนีวา
เมื่อเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในประมาณ 58 ปีก่อนคริสตกาล จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้เข้าโจมตีและยึดดินแดนของชนเผ่า Helvetii และดินแดนส่วนอื่นๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน จึงเริ่มมีการก่อสร้างถนนหนทางและระบบผังเมืองขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น ในบริเวณเมือง Basel, Chur, Geneve, Zurich ในปัจจุบัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง Avenches
ในช่วงปลายของยุคสมัยโรมัน ประมาณคริตศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่เข้ามาในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ได้มีการตั้งตำแหน่ง Bishop ขึ้นตามเมืองต่างๆ และเชื่อกันว่าอาณาจักรโรมันก็ล่มสลายลงในช่วงนี้เอง
หลังจากที่อาณาจักรโรมันค่อยๆเริ่มเสื่อมลง พวกชาวเยอรมันเผ่าต่างๆ ก็อพยพมาตั้งถิ่นฐานในเขตนี้แทน โดยชนเผ่า Burgundian เข้ามายึดครองบริเวณทางแถบ Jura ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ บริเวณแม่น้ำ Rhðne และทะเลสาบเจนีวา ส่วนพวก Alamannic ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไรน์ (Rhein) ส่วนการเผยแผ่ศาสนาก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ โดยพระนักสอนศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในเขตเมืองต่างๆ รวมทั้งยังมีการสร้างวัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมือง St. Gallen และ Zurich
เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ของจักรพรรดิชาร์ลมาญแห่งเยอรมนี ก็มีการนำระบบกฎหมายต่างๆ เข้ามาใช้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีการร่างสนธิสัญญา Verdun ขึ้นในปี ค.ศ.834 โดยพื้นที่บริเวณตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ (Burgundain) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Lothair ที่ 1 และทางด้านตะวันออก (Alamannic) อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Louis the German ในศตวรรษที่ 10 เมื่อระบบการปกครองแบบใช้กฎหมายเสื่อมลง พวกชนเผ่าแมกยาร์ (Magyar) ก็เข้ามาทำลายเมืองใหญ่ต่างๆ ของเผ่า Burgundian และ Alamannic แต่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ Otto ที่ 1 ทำสงครามชนะพวกชนเผ่าแมกยาร์ในปี ค.ศ. 955 ก็มีการรวมพื้นที่บริเวณของ 2 ชนเผ่าเข้าด้วยกันเป็นส่วนหนึ่งของ Holy Roman Empire อีกครั้ง และยังได้มีการรวบรวมแคว้นต่างๆเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ฮับสบวร์ก (Habsburg dynasty)                           ไปจนกระทั่งกษัตริย์ Rudolph ที่ 1 แห่งราชวงศ์ฮับสบวร์กสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1291

ยุคของอดีตสมาพันธรัฐสวิส
การก่อตั้งประเทศสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์อย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1291 เมื่อมณฑล 3 มณฑลในเขตเทือกเขาแอลป์ คือ Uri, Schwyz และ Unterwalden รวมตัวกันเป็นอดีตสมาพันธรัฐสวิส (Old Swiss Conferderation ) เพื่อต่อต้านอำนาจของราชวงศ์ฮับสบวร์ก แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากราชวงศ์  จึงมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ในปีค.ศ1315 กลุ่มของชาวบ้านที่เป็นทหารของสวิสในสมัยนั้นทำสงครามชนะกองทัพของราชวงศ์ฮับส์บวร์กในสงคราม Morgaten หลังจากนั้นเมือง Zürich, Lucerne, Glarus, Zug และ Bern ก็ได้เข้าร่วมเป็นอดีตสมาพันธรัฐสวิส และเรียกชื่อกลุ่มการรวมตัวของมณฑล 8 มณฑลนี้ว่า Schwyz จนสิ้นสุดปีค.ศ.1513 ก็มีมณฑลเข้าร่วมทั้งหมด 13 มณฑล
แม้จะมีการรวมตัวกันแล้ว  แต่ก็ยังคงมีการทำสงครามภายในพื้นที่ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสงครามที่ยาวนานที่สุด คือ สงคราม 30 ปี (Thirty Years War ค.ศ. 1618-1648) ระหว่างศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิกกับโปรแตสแตนท์ ต่อมาได้ขยายวงกว้างไปเป็นสงครามการขยายอำนาจภายในทวีปยุโรป สงคราม 30 ปีสิ้นสุดลงเมื่อมีการประกาศสันติภาพ Peace of Westphaliaส่งผลให้ประเทศสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ประกาศแยกตัวออกจากอาณาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1648
ในยุคที่ราชวงศ์ของฝรั่งเศสเริ่มเข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ยุโรป กองทัพของนโปเลียน (Napolean Bonaparte) ก็เข้าครอบครองสวิตเซอร์แลนด์และสถาปนาเป็น Helvetic Republic ในปี ค.ศ. 1798 สวิตเซอร์แลนด์จึงถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ต่อมาในปี 1803 ภายใต้การปกครองของนโปเลียนได้มีการรวบรวมมณฑลต่างๆในสมาพันธรัฐสวิสอีกครั้ง นอกจากนั้นยังได้สถาปนาเขต 6 เขต คือ ขึ้นเป็นมณฑลใหม่ ในปีค.ศ. 1815 มีการสถาปนาสมาพันธรัฐสวิสขึ้นมาใหม่ที่คองเกรสแห่งเวียนนา (Congress of Vienna) ขึ้น โดยเพิ่มจำนวนมณฑลอีก 3 มณฑล และมีการลงนามประกาศให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีความเป็นกลางทางการเมือง คือ โดยจะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไม่ให้มีการทำสงครามกันระหว่างฝรั่งเศส เยอรมัน และออสเตรีย และรัฐธรรมนูญในปี 1848 (Federal Constitution) ระบุให้เมือง Bern เป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐ
  
สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1และครั้งที่2ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางการทหาร บทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 คือการส่งสภากาชาดเข้ามาช่วยเหลือ หลังสงครามทำให้เศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ตกต่ำลง และเริ่มฟื้นฟูขึ้นใหม่ในช่วงปี พ.ศ.2473 (ค.ศ.1930)
ถึงแม้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะวางตัวเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2                แต่ธนาคารของสวิสเซอร์แลนด์กลับมีบทบาทสำคัญในทางด้านเศรษฐกิจ คือ เป็นสถานที่ใช้แลกเปลี่ยนเงินผิดกฎหมายของพวกนาซีเยอรมัน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ.1945) มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศหลายประเทศได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาติแต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่องค์การสากลแห่งแรก                           ที่สวิสเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นสมาชิก คือ องค์การ UNESCO (ค.ศ.1948) สวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ.2002) ต่อมาในปี 2548                  ชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้ลงประชามติเข้าร่วมเป็นประเทศในสนธิสัญญาเชงเก็น (Schengen Agreement)  โดยนักท่องเที่ยวที่มีใบอนุญาตเชงเก็น (Schengen Visa) แบบมัลติเพิลของประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถเดินทางเข้าออกประเทศอื่นๆโดยไม่ต้องขอวีซ่ารวม 26 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก  กรีซ โปรตุเกส สเปน เยอรมนี  ออสเตรีย ฟินแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ มอลตาสาธารณรัฐเช็ก เอสโตเนีย ฮังการี โปแลนด์  สโลวาเกีย สโลวีเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโมนาโก

อาหาร
เมนูที่มีอาหารหลากหลายนั้นอาจจะมีอาหารขึ้นชื่อของซูริค คือ เกชเนตเซลเตส (Geschnetzeltes) และราทส์เฮเรนโตฟ (Ratsherrentopf)  อย่างแรก คือ เนื้อที่นำมาเคี่ยวจนเปื่อยเป็นน้ำข้นและเสิร์ฟพร้อมกับรอยช์ตี (Rösti) ส่วนอย่างที่สอง คือ สตูทำด้วยเนื้อหลายชนิดผสมกับมันฝรั่ง
ส่วนของหวานพื้นเมืองที่กลายมาเป็นของหวานประจำชาติ ได้แก่ ซุกเกอร์ เคียร์ชทอร์ตเต้ (Zuger Kirschtorte- เค้กผสมเหล้าเคียร์ช), อาร์เกาเออร์ รูบลิทอร์ตเต้ (Argauer Rueblitorte- เค้กแครอต) กลารุสเซอร์ เบียร์นบรอท (Glaruser Birnbrot- ขนมปังลูกแพร์)               เองกาดีเนอร์ นุสทอร์ตเต้ (Engadiner Nusstorte- เค้กถั่ว) วิลลีซาวเออร์ ริงลี (Willisauer Ringli) บาเซิลเลอร์ เลคเคอร์ลี่ (Basler Leckerli) และชัฟฟ์ฮาวเซนเนอร์ ซุงลี (Schaffhausener Züngli)
            อาหารประจำชาติเหล่านี้ได้จากชุมชนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในท้องถิ่น มีเรื่องเล่ากันว่าในราวศตวรรษที่ 12 บิชอปแห่งฮอร์บูร์ก (Horburg) ซึ่งขึ้นชื่อว่ากินอาหารทุกอย่างที่ขวางหน้า เขาเริ่มเรียกน้ำย่อยด้วยแฮมหัวหมู เนื้อสับ (Gehacktes) ขาหมูย่างเกรียม และไส้กรอกชนิดต่างๆ แล้วจึงตามด้วยเนื้อวัวรมควันใส่กะหล่ำ คอหมูย่าง (Schluchbraten) เนื้อกวาง ข้าวฟ่างที่หุงด้วยเลือด ขาหมูแล่เป็นชิ้นบางๆ รวมถึงอาหารที่ทำจากนมและไข่อีกมากมายหลายชนิด

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
Thun (ตูน)
เมืองตูน (Thun) เมืองปราสาทสวย อยู่ห่างจากเมืองอินเตอร์ลาเก้น (Interlaken) ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 29 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอาร์ (Aare) และอยู่ส่วนปลายของทะเลสาบตูน (Thunersee) เมืองตูนเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแวะมากนัก แต่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มาก
ปราสาทตูน (Thun Castle) หรือในภาษาเยอรมันเรียกชลอส ตูน (SchlosThun) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1191 ตั้งอยู่บนเนินเขา ด้านหลังของเมืองเก่า โดยDuke Berchtold von Zahringen และถูกครอบครองโดยตระกูล Bernese ในปีค.ศ.1386
ปราสาทถูกสร้างเป็นกำแพงทรงสูง และประกอบด้วยป้อมปราการ 3 ป้อมและอาคารกลางหลังคาทรงแหลมสีแดงเช่นกันอีก 1 อาคาร คล้ายปราสาทที่ปรากฎอยู่ในการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์ ซึ่งนำรูปแบบมาจากปราสาทนอยส์ชวานสไตน์ (Neuschwanstein) ที่มีชื่อเสียงในประเทศเยอรมนี
ปราสาทตูนเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (Historical Museum) ที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์ในยุคต่างๆ รวมถึงจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ทางการทหารด้วย ด้านนอกปราสาททางทิศเหนือและตะวันตก สามารถเดินชมวิวมุมสูงของเมืองเก่าได้

Thun

ปราสาทตูน
(ที่มาhttp://www.myswitzerland.com/en.cfm/destinations/top_attractions/offer)
  
เบิร์น (Bern) เมืองแห่งหมี น้ำพุโบราณ และแม่น้ำอาร์
องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกให้เมืองเบิร์นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม (World Cultural Heritage) แห่งหนึ่งในจำนวนหลายๆ แห่งในโลก อันด้วยความมีเสน่ห์ของน้ำพุโบราณที่มีการระบายสีแปลกตาและมีรูปปั้นยืนตระหง่านอยู่กลางน้ำพุ อีกทั้งร้านค้าที่ใช้อาคารที่ปลูกสร้างมาตั้งแต่อดีตที่หลายร้านมีรูปแบบคล้ายร้านค้าใต้ดิน นอกจากนี้เมืองเบิร์นยังมีความงามของทิวทัศน์แม่น้ำอาร์ (Aare) และเทือกเขาแอลป์ (Alps) รวมทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของเนยแข็งตราเอ็มเมนทัล (Emmental) และช็อกโกแลตรูปสามเหลี่ยมตราท็อปเบิลโรน (Toblerone) ด้วย
เมืองเบิร์นมีแม่น้ำอาร์ (Aare) ไหลผ่านตัวเมือง ชื่อของแม่น้ำนี้มาจากภาษาเยอรมันว่า Aha ที่แปลว่าน้ำผสมกับภาษาลาตินว่า Aqua แล้วกลายเป็นคำว่า Aare ซึ่งเป็นแม่น้ำสายที่ยาวสายหนึ่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมืองเบิร์น  มีพื้นที่ประมาณ 604,904 ตารางกิโลเมตร เป็นเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ปีค.ศ.1191 ต่อมาในปีค.ศ.1224 เจ้าเมืองชือ Duke Berchtold von Zaehringen ต้องการสัญลักษณ์ให้เมืองเบิร์น จึงเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์และวางแผนว่าถ้าเจอสัตว์อะไรเป็นตัวแรก ก็จะนำมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองทันที เมื่อพบหมีเป็นสัตว์ตัวแรกจึงสังหารและนำกลับมา และใช้รูปหมีเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบิร์น และได้นำ Bar ในภาษาเยอรมันมาเป็นชื่อเมืองนับตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุนี้เมืองเบิร์นจึงจัดให้มีการสร้างที่พักของหมีที่เรียกว่า Bear Pit หรือในภาษาเยอรมันคือ Barengraben ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักแห่งหนึ่ง












บ่อหมีเมืองเบิร์น

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองนี้คือ บ่อหมี หมีเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ชื่อเมืองเองก็มาจากคำว่า Bär ซึ่งแปลว่าหมีในภาษาเยอรมัน ตำนานเก่าแก่เล่าว่า Berchtold ที่ 5 แห่ง Zähringen ได้ต่อสู้และฆ่าหมีดุตัวหนึ่งอย่างกล้าหาญในค.ศ.1191 เมืองนี้จึงได้เลือกหมีเป็นสัญลักษณ์ บ่อหมีได้รับการก่อสร้างมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 แต่ถูกย้ายไปอยู่ในที่ต่างๆ จนมาอยู่ที่บ่อใกล้สะพาน Kirchenfeldbrücke ในปัจจุบัน

ลูเซิร์น (Luzern)
เมืองลูเซิร์น (Luzern หรือ Lucerne) เป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองตากอากาศที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของปากทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Luzern) หรือในภาษาเยอรมันเรียกว่า Vierwaldstattersee และตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำรอยส์ (Reuss) เป็นเมืองที่คนไทยมักคุ้นชื่อ เพราะเมื่อเอ่ยถึงสวิตเซอร์แลนด์เมืองนี้ดูจะเป็นเมืองที่คนไทยอยากแวะมาซื้อนาฬิกาสวิส
จุดแรกที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด คือ สะพานชาเพล บริดจ์ (Chapel Bridge) ภาษาเยอรมันเรียกว่า Kapellbrucke ซึ่งแปลว่า สะพานโบสถ์ เนื่องจากสุดปลายทางของสะพานนี้ทอดไปยังประตูทางเข้าของโบสถ์ เซนต์ ปีเตอร์ (St.Peter Church) สะพานของชาเพล ถือเป็นสัญลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์อีกสิ่งหนึ่ง เนื่องจากมักมีรูปไปลงหน้าปกหนังสือท่องเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์หรือแสดงอยู่ในโปรแกรมทัวร์ประเทศนี้อยู่เสมอๆ
สะพานคาเพลล์ เป็นสะพานไม้ที่ถูกสร้างมาแล้วเป็นเวลา 660 ปี เป็นสะพานข้ามแม่น้ำรอยส์  ซึ่งเชื่อมระหว่างเขตเมืองใหม่ในฝั่งใต้และเขตเมืองเก่าในฝั่งเหนือ โดยสะพานมีหลังคาคลุมตลอดแนวทางเดิน สะพานแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้ไปเมื่อปีค.ศ.1993 จากทิ้งก้นบุหรี่ที่ยังติดไฟอยู่ลงไปจากสะพาน แต่กลับไปติดผ้าใบเรือที่ลอยอยู่และไฟลามมาติดสะพานในที่สุด และได้รับการบูรณะใหม่ให้สภาพใกล้เคียงแบบเดิมมากที่สุด

                      

   ภาพแรก มุมซ้าย สะพานไม้เก่าแก่คาเปลล์ มุมขวาสะพานปูนสำหรับรถยนต์
ภาพที่สอง สะพานคาเปลล์
(ที่มาhttp://www.pantown.com/board.)

อนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument) เป็นจุดท่องเที่ยวหลักอีกแห่งที่เป็นสัญลักษณ์ของลูเซิร์น เจ้าสิงโตนี้ถือเป็นอนุสาวรีย์แห่งความกล้าหาญ ที่สลักเข้าไปในซอกผาเพื่อระลึกถึงความกล้าหาญของทหารรับจ้างชาวสวิสที่ไปทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จำนวน 786 คนซึ่งเสียชีวิตในช่วงเวลาการปฎิวัติครั้งใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส เจ้าสิงโตผนังถ้ำนี้เป็นผลงานการออกแบบของศิลปินชาวเดนมาร์กชื่อนายเบอร์เทล ธอร์วัลด์เซน (Bertel thorvaldsen)             และผู้แกะสลักชื่อนายลูกาส เอฮอร์น (Lukas Ahorn) โดยลักษณะเด่นของสิงโตตัวนี้นั้นคือหอกที่แทงทะลุบริเวณลำตัว อันเปรียบเสมือนอนุสรณ์ถึงทหารสวิสที่ตายอย่างสมศักดิ์ศรีในสนามรบ
File:Luzern Loewendenkmal um 1900.jpg

อนุสาวรีย์สิงโต
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Lion_Monument)


กำแพงเมือง (Musegg Wall) ตั้งอยู่ที่ถนนมิวเซ็กก์สตาซ (Musegg Strasse) เป็นกำแพงเมืองเก่าแก่ ซึ่งกำแพงเมืองของลูเซิร์นนี้ถูกสร้างเมื่อปีค.ศ.1386 โดยสร้างเป็นผนังหินตลอดแนวและมีป้อมปราการทั้งสิ้น 3 ป้อม มีชื่อเรียกป้อมปราการทั้งสามว่า Schrimer, Zyt และ Mannli ส่วนที่เป็นหอนาฬิกาสร้างเมื่อปีค.ศ.1535 โดยนายฮาน ลูเธอร์ (Hans Luter) ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ป้อม Zyt และตลอดแนวกำแพงก็มีหอคอยถึง 9 แห่ง ซึ่งหากอยากชื่นชมวิวลูเซิร์นจากมุมสูงก็สามารถเดินขึ้นบันไดไปเดินบนแนวกำแพงได้เช่นกัน           

Musegg Wall & Towers, Lucerne: Männliturm, Luegislandturm, Wachtturm
กำแพงเมือง
(ที่มา http://travelguide.all-about-switzerland.info/lucerne-museggwall-ramparts-towers.html)
จัตุรัสชวาเนิน พลาส (Schwanen Platz) หรือจัตุรัสหงส์ ซึ่งอยู่บริเวณตีนสะพานชาเพล ซึ่งเป็นแหล่งสินค้าขึ้นชื่อ เนื่องจากมีร้านขายนาฬิกาดังๆ ตั้งอยู่หลายร้านซึ่งมียาวตลอดแนวถนนไปจนถึงตีนสะพานสปรอยเออบรุเค( Spreuerbrucke)
ซูริค (Zurich) เมืองสามโบสถ์
เมืองซูริคเป็นเมืองศูนย์กลางของการค้า การธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีโบสถ์ที่สวยงามอยู่สามแห่ง อีกทั้งมีถนนช้อปปิ้งที่ทัวร์มักชอบพานักท่องเที่ยวมาลงเดินซื้อหาข้าวของสารพัน และมีเขตเมืองเก่าที่มีศิลปะของสิ่งปลูกสร้างที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมอันสวยงาม สถานีรถไฟซูริคนั้นใหญ่โตกว่าสถานีรถไฟอื่นๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ เพราะที่นี่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลยก็ว่าได้ รถไฟที่วิ่งมาจากประเทศต่างๆ ในยุโรปจะมาจอดที่นี่ บริเวณหน้าสถานีรถไฟซูริค ที่เรียกว่าจตุรัสบาห์นฮอฟพลาซ (Bahnhofplatz) มีรูปปั้นของอัลเฟรด เอสเคอร์(Alfred Escher) ซึ่งเป็นผู้นำความเจริญต่างๆ มาให้กับเมืองซูริคตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19

โบสถ์ โฟรมุนสเตอร์ (Fraumunster- Church of Our Lady)
เป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 9 หากแต่มีการตกแต่งเพิ่มเติมในปีค.ศ.1732 และส่วนที่เป็นกระจกสี (Stain Glass) ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมเข้าไปในปีค.ศ.1970 โดยศิลปินชาวรัสเซียที่ชื่อ Marc Chagall ทำให้โบสถ์แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีก็เพราะความสวยงามของบานหน้าต่างที่ประดับด้วยกระจกสีอันสวยงาม

Fraumünster

โบสถ์ โฟรมุนสเตอร์ (Fraumunster- Church of Our Lady)
(ที่มา http://www.sacred-destinations.com/switzerland/zurich-fraumunster.htm)

โบสถ์กรอสมุนสเตอร์ (Grossmunster- The Great Church)
เป็นโบสถ์คาทอลิกที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมกอธิคมียอดแฝดโดดเด่น ถ้าหากได้มีโอกาสเดินขึ้นไปบนยอดของโบสถ์แห่งนี้เพื่อชมวิวก็จะได้ชื่นชมความงามของซูริคในมุมกว้าง

















โบสถ์กรอสมุนสเตอร์ (Grossmunster- The Great Church)
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Grossm%C3%BCnster)


 ราชอาณาจักรสเปน
ประวัติศาสตร์
ชนชาติต่าง ๆ เข้ามามีอิทธิพลในสเปน ตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ชาวเคลต์ ไอบีเรียน โรมัน วิซิกอท และมัวร์ในยุคกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมอย่างน้อยห้าร้อยปี ชาวมัวร์ยังคงหลงเหลืออยู่ในคาบสมุทรไอบีเรียจนกระทั่งในปี ค.ศ.1492 ราชอาณาจักรคาสตีลและอารากอนสามารถขับไล่ชาวมัวร์ออกไปได้ หลังจากใช้เวลายาวนานถึง 770 ปี และในปีเดียวกัน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสยังได้ค้นพบโลกใหม่ นำไปสู่การเป็นจักรวรรดิสเปนที่แผ่ขยายไป           ทั่วโลก แต่สงครามที่มีอย่างต่อเนื่องและปัญหาอื่นๆก็ทำให้ความยิ่งใหญ่ของประเทศลดลงไป ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สเปนมีการปกครองระบอบเผด็จการ ปัจจุบันปกครองโดยพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี ค.ศ.1978

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของสเปน
ประเทศสเปนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปบนคาบสมุทรไอบีเรียทิศเหนือ จรด ทะเลกันตาบริโก ราชรัฐอันดอร์ราและประเทศฝรั่งเศส ทิศตะวันออกจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  ทิศใต้ จรด ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลต้า และมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศตะวันตก จรด ประเทศโปรตุเกสและมหาสมุทรแอตแลนติก
สเปนมีเนื้อที่ 504,880 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับสามในยุโรป รองจากรัสเซียและฝรั่งเศส เนื้อที่ของประเทศสเปนแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่
1.คาบสมุทรไอบีเรียและดินแดนทางเหนือของโมร็อกโก
2. หมู่เกาะบาเลอาริคและหมู่เกาะคะเนรี

ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
แผ่นดินใหญ่ของประเทศสเปนมีลักษณะเด่นคือ เป็นที่ราบสูงและแนวภูเขา เช่น              เทือกเขาพิเรนีส เซียร์ราเนวาดา โดยมีแม่น้ำสายหลักหลายสายที่ไหลจากบริเวณที่สูงเหล่านี้ ได้แก่ แม่น้ำเทกัส   แม่น้ำเอโบร แม่น้ำดวยโร แม่น้ำกวาเดียนาและแม่น้ำกวาดัลกีวีร์ ส่วนที่ราบตะกอนน้ำพัดพาพบได้ทั่วไปตามชายฝั่งทะเล โดยที่มีใหญ่ที่สุดได้แก่ ที่ราบตะกอนน้ำพาของแม่น้ำกวาดัลกีวีร์ในแคว้นอันดาลูเซียส่วนในภาคตะวันออกจะมีที่ราบชนิดนี้บริเวณแม่น้ำขนาดกลาง เช่น แม่น้ำเซกูรา แม่น้ำคูการ์ แม่น้ำตูเรีย เป็นต้น
  
ประเทศสเปนตั้งอยู่ในเขตอบอุ่น แต่เนื่องจากมีภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ อากาศของภูมิภาคต่างๆ จึงมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพของภูมิประเทศ เช่น ภาคเหนือ มีสภาพอากาศของริมฝั่งทะเล ซึ่งโดยปกติในฤดูหนาวไม่หนาวจัด และเย็นสบายในฤดูร้อน แต่เป็นภาคที่ฝนตกฉุกและมีความชื้นสูง ส่วน ภาคกลาง และ ภาคใต้ สภาพอากาศแห้ง ฝนตกน้อย ในฤดูร้อนอากาศร้อนจัด แต่ในฤดูหนาวไม่หนาวจัด ด้วยความหลากหลายของสภาพภูมิอากาศในสเปนทำให้สามารถจำแนกออกเป็นสภาพอากาศในบริเวณต่างๆ ดังนี้
1. เขตภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีปได้แก่บริเวณพื้นที่ตอนในของคาบสมุทร เมืองใหญ่ในเขตนี้ ได้แก่  เมืองมาดริด
2. เขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน กินพื้นที่ตั้งแต่ที่ราบอันดาลูเซียตามชายฝั่งทางใต้และตะวันออก เมืองใหญ่ในเขตนี้ ได้แก่ เมืองบาร์เซโลนา
3. เขตภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทร ได้แก่บริเวณแคว้นกาลิเซียทางตะวันตกเฉียงเหนือ และชายฝั่งทะเลกันตาเบรียซึ่งมักเรียกบริเวณนี้ว่า สเปนเขียว  เมืองใหญ่ในเขตนี้ ได้แก่ บิลบาโอ      

การปกครอง
ประเทศสเปนปกครองระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาโดยมีกษัตริย์เป็นประมุข            แบ่งเขตการปกครองเป็นแคว้นอิสระ 19 แคว้น โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดโอกาสให้แคว้นต่างๆ มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ในระดับที่ต่างกันตามภูมิหลังการปกครองตนเองของแต่ละแคว้น โดยที่แต่ละแคว้นมีสภาของตนเอง มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาทุกๆ 4 ปี และได้รับอำนาจบริหารท้องถิ่นของตนเองภายใต้รัฐบาลสเปน 
ประเทศสเปนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 17 แคว้นปกครองตนเอง และ 2 นครปกครองตนเอง แต่ละแคว้นจะแบ่งย่อยออกไปอีกเป็นจังหวัด รวมทั้งหมด 50 จังหวัด ปัจจุบันสเปนได้ชื่อว่าเป็น "รัฐแห่งการปกครองตนเอง แม้ว่าโดยทางการจะถือว่าเป็นรัฐเดี่ยว แต่ในความเป็นจริงแล้วมีลักษณะเป็นรัฐรวมที่มีการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางอย่างมาก โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดโอกาสให้แคว้นต่างๆ มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ในระดับที่ต่างกันตามภูมิหลังการปกครองตนเองของแต่ละแคว้น เช่น ทุกแคว้นจะจัดการด้านสาธารณสุขและระบบการศึกษาของตนเอง บางแคว้น (เช่น บาสก์และนาวาร์) มีหน้าที่จัดการด้านการเงินสาธารณะเพิ่มเติม ในแคว้นบาสก์และคาเทโลเนีย หน่วยงานตำรวจของแคว้นจะมีบทบาทหน้าที่มากกว่าหน่วยงานตำรวจของส่วนกลาง เป็นต้น โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติของแต่ละแคว้นจะดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปีเช่นเดียวกับสมาชิกรัฐสภา โดยแคว้นปกครองตนเอง และนครปกครองตนเอง (ในแอฟริกา) ของประเทศสเปน

ประเทศสเปนมีประชากรประมาณ 45.2 ล้านคน มีอัตราการขยายตัวของประชากรประมาณ ร้อยละ 0.1 โดยประชากรในสเปนประกอบด้วยเชื้อชาติต่างๆ ได้แก่ ชาวสเปน มีจำนวนมากที่สุดประมาณร้อยละ 74 รองลงมาเป็นคาตาลันชาวกาลิเซียและชาวบาสก์    ชาวสเปนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิกประมาณร้อยละ 94 ศาสนาอื่นที่ประชากรสเปนนับถือก็มีประมาณร้อยละ 6 ได้แก่  นิกายโปรเตสแตนต์ และศาสนาอิสลาม

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
นอกจากแหล่งท่องเที่ยวประเภทภาพเขียนสีในถ้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้วสเปนยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายดังนี้

เมืองมาดริด (Madrid
มาดริดเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสเปน  เป็นเมืองผู้คนทั่วโลกรู้จักและเลื่องชื่อไปด้วยพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมไปถึงสถาปัตยกรรมโบราณโด่งดังที่ยังคงมีให้ชมกันในปัจจุบัน เมืองมาดริดถือเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างยิ่ง

พิพิธภัณฑ์ปราโด (Prado)
พิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการยกย่องด้านความสวยงามเป็นอันดับสองของโลก และถือได้ว่าพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมาดริด เป็นแหล่งสะสมภาพเขียนล้ำค่าแห่งหนึ่งของโลก มีภาพทั้งหมดรวมกันมากกว่า 6,000 ภาพ

File:Museo del Prado (Madrid) 04.jpg

พิพิธภัณฑ์ปราโด (Prado)
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Prado)
พระราชวังปาลาซิโอเรอัล  ( Palacio Real)
พระราชวังหลวงเก่าของมาดริด ที่พระเจ้าเฟลิเปที่ 5 แห่งราชวงศ์บูร์บงสร้างขึ้นใน  ค.ศ.1735 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 25 ปี ภายในตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาและประดับประดาด้วยงานศิลปะล้ำค่า


File:Jardines de Sabatini (Madrid) 06.jpg

North facade of the Royal Palace at night seen from the Sabatini Gardens.
(ที่มาhttp://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Palace_of_Madrid)

ปลาซา มายอร์  (Plaza Mayor)
จตุรัสหินซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองตั้งอยู่ในย่านเก่าแก่ในกรุงมาดริดเคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนาเช่น พิธีราชาภิเษก และสนามสู้วัวกระทิง ปัจจุบันนี้ยังเป็นจัตุรัสกลางเมืองที่ยังคงมีบรรยากาศสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่ รอบๆบริเวณจะมีร้านกาแฟตั้งอยู่มากมาย


File:PlazaMayorMadrid.JPG

ปลาซา มายอร์
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Plaza_Mayor_of_Madrid)

 เมืองบาร์เซโลนา (Barcelona)
เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสเปน ทั้งในด้านขนาดและประชากร บาร์เซโลนา               เป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของโรมัน    มาก่อน เคยถูกยึดครองโดยชาติต่างๆ หลายครั้ง บาร์เซโลนาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวยามราตรีที่รื่นเริงสนุกสนาน นอกจากนี้บาร์เซโลนามีสถาปัตยกรรมเก่าแก่          ที่สำคัญมากมาย อาคารแบบ Art Nouveau ที่ดูแปลกประหลาดออกแบบโดยสถาปนิกชาวสเปน         นับเป็นจุดดึงดูดด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ

พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ
 ตั้งอยู่ที่บาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน เมื่อประมาณศตวรรษที่ 14 เคยเป็นพระราชวังของเบเรงเกร์ เด อากิล่าร์ (Berenguer de Aguilar) ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงผลงานของศิลปินเอกของโลก ปาโบล ปิกัสโซ”  ศิลปินที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกให้เป็นศิลปินยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 20  ภายในมีจัดแสดงหลายๆ รูปแบบ  ทั้งที่เป็นภาพเขียน  ภาพพิมพ์กัดกรด  ภาพพิมพ์แกะสลัก และงานเซรามิค โดยเฉพาะภาพเขียนนั้นเน้นแสดงผลงานในสมัยเด็กและยุคต่อมาอีกหลายช่วง  พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงมาก่อน   ผลงานส่วนใหญ่ที่แสดงอยู่นี้เป็นผลงานที่ปีกัสโซอุทิศให้แก่เพื่อนรักของเขา คือ ซาบาร์เตส (Sabartes)

มหาวิหารซากราดา ฟามิเลีย  (La Sagrada Familia)
สัญลักษณ์ของเมืองบาร์เซโลนาอันโด่งดัง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1882 ในแบบนีโอ-โกธิค มีฟรานเชส บิลาร์ (Frances Bilar) เป็นผู้ควบคุมงานสร้าง ในปี 1891 อันโตนี เกาดี้ (Antoni Gaudí 1852-1926) รับช่วงต่อแทนและออกแบบงานชิ้นใหญ่ที่มีความสูงถึง 150 เมตร จนเกาดี้เสียชีวิตในปี 1926 จนบัดนี้งานชิ้นนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์

File:Sagrada familia by night 2006.jpg

(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Sagrada_Fam%C3%ADlia)
เมืองเซโกเบีย (Segovia)
เมืองมรดกโลก มีสิ่งก่อสร้างตั้งแต่สมัยของยุคโรมันหลงเหลืออยู่ไว้ให้ศึกษามากมาย รวมทั้งยังสามมีจัตุรัสกลางเมืองเก่าซึ่งที่เป็นที่ตั้งอาคารสำคัญๆ เช่น ศาลากลาง โรงละคร              ฮวน บราโว่ อีกด้านของจัตุรัสเป็นมหาวิหารขนาดใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นใหม่แทนที่ของเดิมที่ถูกทำลายลง และได้รับเอาอิทธิพลศิลปะของยุคเรอเนสซองซ์มาประยุกต์ใช้

ปราสาทแห่งเซโกเบีย
ปราสาทแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นปราสาทแห่งเทพนิยาย เพราะความสวยสง่า
งามที่มองเห็นได้จากภายนอก ปราสาทตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงชันที่ที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 13 ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับแสดงของมีค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งหลาย โดยยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้ปราสาทแห่งเซโกเบียเป็นมรดกโลกทางศิลปวัฒนธรรม


File:Alcázar de Segovia 1-7-07.JPG
ปราสาทแห่งเซโกเบีย(Alcazar of Segovia)
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Alc%C3%A1zar_of_Segovia)

 ท่อส่งน้ำแห่งเมืองเซโกเบีย   (Segovia aqueduct)
เป็นท่อส่งน้ำของชาวโรมัน ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ใช้สำหรับลำเลียงน้ำจากแม่น้ำริโอเลเดสม่า เข้ามาใช้ในเมือง สถาปัตยกรรมชิ้นนี้ใช้งานมาตั้งแต่อดีตและเพิ่งเลิกใช้กันไปในไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เอง นับเป็นท่อส่งน้ำที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ มีความยาวทั้งสิ้น 728 เมตร มีเสาสูง 29 เมตรที่จุดสูงสุด และมีมากถึง 128 ต้นทั้งที่มีอายุร่วม 2,000 ปี ปัจจุบันกลายเป็นมรดกโลกที่สำคัญตั้งอยู่ในเมืองเซโกเบียของประเทศสเปน

ไฟล์:AcueductoSegovia04.JPG

ท่อส่งน้ำ(Acueducto)แห่งSegovia
(ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/)

เมืองโตเลโด (Toledo)
เป็นเมืองศูนย์กลางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสเปน มีประชากรประมาณ 70,000 คน มีป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ เคยเป็นเมืองหลวงของสเปนมาก่อน องค์การสหประชาชาติยกย่องให้เมืองโตเลโดเป็นเมืองมรดกโลกที่สำคัญแห่งหนึ่ง โดยมีความเหมาะสมทางด้านชัยภูมิที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง และล้อมรอบเมืองด้วยแม่น้ำตาโฆ(Taxo) ปัจจุบันเมืองนี้ยังมีกลิ่นอายและทัศนียภาพที่สวยงามอยู่เหมือนในอดีต

โบสถ์แห่งโตเลโด้
เป็นโบสถ์สถาปัตยกรรมโกธิคอันยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ใช้เวลาสร้างนานถึง 266 ปี ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยงานไม้แกะสลักและภาพสลักหินอ่อน              ในโบสถ์มีงานศิลปะล้ำค่าชิ้นมากมาย และยังเป็นที่สะสมภาพเขียนของจิตรกรเอกของโลก


File:Toledo Skyline Panorama, Spain - Dec 2006.jpg


The Alcázar on the left and Cathedral on the right dominate the skyline
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Toledo,_Spain)

เทศกาลที่น่าสนใจของประเทศสเปน
ในประเทศสเปน วันหยุดเทศกาลที่สนุกสนานมักจะตรงกับวันที่สำคัญทางศาสนา            แต่ในเมืองเล็กๆในหมู่บ้านผู้คนจะมีการการฉลองการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ในการผลิตไวน์หรือแม้แต่จับปลา เทศกาลที่มีสีสันของสเปนบางงานจัดในช่วงสัปดาห์แห่งการสักการบูชาหรือ                             อีสเตอร์   เทศกาลเหล่านี้มีความสนุกสนานและฉลองกันตามถนน

เทศกาล Fallas de San José
ในวันที่19 มีนาคม ผู้คนในวาเลนเซียจะเฉลิมฉลองเทศกาล ฟัลลัส เด ซาน โฮเซ่ ซึ่งจัดมานานหลายศตวรรษแล้วเริ่มจากช่างไม้เผาเศษไม้ในวันนักบุญเท่านั้น ยังถือว่าเป็นการสิ้นสุดฤดูหนาวและเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย   ในวันนี้จะมีการแห่รูปปั้นที่ทำจากขี้ผึ้งไม้และปูนปลาสเตอร์ไปตามถนน จากนั้นอีก5วัน ก็จุดดอกไม้ไฟ เลี้ยงอาหารและเผาหุ่นดังกล่าว








เทศกาล Fallas de San José



เทศกาลปามะเขือเทศของเมืองวาเลนเซีย
เทศกาลนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อฉลองการมีมะเขือเทศผลใหญ่และมีน้ำมาก เทศกาลปามะเขือเทศถือเป็นเทศกาลที่แปลกและเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวสเปนได้เป็นอย่างมาก

เทศกาลวิ่งวัวกระทิง
เทศกาลวิ่งวัวกระทิงเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงของเมืองแปมโปรนาในสเปนจัดขึ้นในวัน (Siant Fermin' Day) เดือนกรกฎาคมของทุกปี ในเดือนนี้นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลมาเที่ยวสเปนเพื่อชมการแสดงโชว์ที่หวาดเสียวของวัวกระทิง

อาหารประจำชาติของสเปน
สเปนอุดมไปด้วยอาหารมากมายเนื่องมาจากสภาพอากาศหลายแบบ และมีผู้คนหลายเชื้อชาติมาอาศัยอยู่ในสเปนมานานหลายศตวรรษ   พืชที่สเปนปลูกส่วนใหญ่จะใช้เป็นอาหารได้เกือบทั้งหมดทาง   ตอนเหนือของสเปนจะปลูกแอปเปิ้ล  เชอร์รี่ และที่ราบภาคกลางนั้นจะปลูกพืชจำพวกข้าวสาร  ข้าวโอ๊ต  ข้าวบาเล่ย์  จนถึงส้มมะกอกถั่วอัลมอนด์และข้าวเจ้าในทางตอนใต้ อีกทั้งยังมีการเลี้ยงหมูกันอย่างแพร่หลาเพื่อใช้ทำไส้กรอกชนิดเผ็ดที่แสนอร่อย แฮมเค็มจะมีแขวนไว้ตามหน้าร้านและบาร์  บางครั้งก็แขวนไว้นานปีก่อนจะมีคนซื้อไป   ปลาสดสามารถจับได้ตามแม่น้ำและชายฝั่งรอบๆ ปลาที่นิยมกันคือปลาไหลเป็นอาหารที่อร่อยและมีราคาแพง

ข้าวหมกสเปน Paella
Paella เป็นอาหารดั้งเดิมของประเทศสเปน โดยมีกำเนิดจากเมืองบาเลนเซีย ทางตะวันออกของสเปน แต่ก็มีทำรับประทานกันทั่วไป ในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งลักษณะหน้าตา หรือสูตร ก็จะแตกต่างกันไปด้วย แล้วแต่ประเพณีนิยม  Paella มาจากคำว่า ปาเอเยร่า ซึ่งหมายถึงกระทะแบนกลม ซึ่งใช้ปรุงอาหารชนิดนี้ ตามประเพณีแล้ว คนสเปนจะนิยมทำ Paella นอกบ้าน โดยใช้ไฟจากถ่านไม้ การทำก็เริ่มจากปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกก่อน ที่ใส่กัน ก็มี เนื้อไก่ หมู เนื้อกระต่าย หรืออาหารทะเล อย่างหอยแครง กุ้ง หอยแมลงภู่ หรือปลาหมึก โดยใช้น้ำมันมะกอก แล้วปรุงรสด้วยหอมใหญ่ กระเทียม และสมุนไพรที่ส่งกลิ่นหอม

 เครื่องดื่มยอดฮิตของสเปน
Sangria เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสเปน ร้านค้าและร้านอาหารในสเปนส่วนใหญ่จะมี Sangria บริการ ซึ่งเครื่องดื่มประเภทนี้ จะมีส่วนผสมของ ไวน์แดง บรั่นดี น้ำอัดลม และผลไม้ เช่น ส้มหรือองุ่น Sangria นิยมเสิร์ฟพร้อมอาหารประเภทเนื้อแดง เป็นเครื่องดื่มที่ถูกปากถูกใจของนักท่องเที่ยว

ประเทศโครเอเชีย

ประเทศโครเอเชียมีพื้นที่ 56,538 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงชื่อกรุงซาเกร็บ (Zagreb)  ประชากร 4.6 ล้านคน (ค.ศ.2005)  เชื้อชาติชาวโครอัท 89.6% ชาวเซิร์บ 4-54% อื่นๆ (บอสเนียน ฮังกาเรียน เช็ก) ประชากรนับถือศาสนานิกายโรมันคาธอลิก 87.8% นิกายออโธด็อกซ์ 4.4% และศาสนาอิสลาม 1.28%  ภาษาที่ใช้คือภาษาโครเอเชียน ภาษาอื่นๆ ที่ใช้พูดกันโดยชนกลุ่มน้อย ได้แก่ เซอร์เบียน  ฮังกาเรียน  อิตาเลียน เยอรมันอังกฤษ 

ประวัติศาสตร์
ชาวโครอัทอพยพมาจากทางเหนือของยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 6 และอยู่ภายใต้อาณาจักรไบแซนไทน์จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 จากนั้นตั้งเป็นรัฐอิสระ จนกระทั่งถูกผนวกอยู่ภายใต้อาณาจักรออสโตร-ฮังการีในปีค.ศ.1645 จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1  เมื่ออาณาจักรออสโตร-ฮังการีล่มสลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวเซิร์บ โครอัท และสโลวีน ได้ร่วมกันสถาปนารัฐอิสระขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ.1618 ต่อมาในเดือนธันวาคมปีเดียวกันได้รวมกับอาณาจักรเซอร์เบีย กลายเป็นอาณาจักรเซิร์บ โครอัท และสโลวีน และในปีค.ศ.1929 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นยูโกสลาเวีย ในปีค.ศ.1941ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีเยอรมันได้บุกเข้ายึดครองดินแดนบางส่วนของยูโกสลาเวีย และตั้งรัฐอิสระชื่อ“Greater Croatia” พร้อมทั้งจัดตั้งรัฐบาลหุ่นภายใต้การนำของนายแอนเต ปาเวริค(Ante Pavelic)สังหารชาวเซิร์บ ยิว และยิปซีหลายแสนคน ขณะที่กองทัพอิตาลีได้บุกเข้ายึดดินแดนอิสเตรีย(Istria) และพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล 
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ได้มีการจัดตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปีค.ศ.1945 โดยรวม 6 สาธารณรัฐและมณฑลอิสระปกครองตนเอง 2 มณฑล ได้แก่ เซอร์เบีย โครเอเชีย สโลวีเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา มอนเตเนโกร มาซิโดเนีย และมณฑลโคโซโวและวอยโวดินา ภายใต้การนำของจอมพลติโต (Marshall Josip Broz Tito)         ชาวโครอัท ซึ่งปกครองประเทศตามระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ จอมพลติโตสามารถควบคุมสถานการณ์ความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติไว้ได้ระดับหนึ่ง ด้วยการยกให้ชาวเซิร์บ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มากกว่าเชื้อชาติอื่นๆ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ถึงแม้จะสร้างความเป็นเอกภาพให้แก่ยูโกสลาเวีย แต่ความแตกแยกโดยพื้นฐานของประเทศยังคงมีอยู่ เมื่อจอมพลติโตถึงแก่อสัญกรรมในปีค.ศ.1980 กระบวนการสู้รบแบ่งแยกดินแดนจึงเริ่มรุนแรงขึ้น 
หลังจากลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคยุโรปตะวันออกล่มสลายลงในปีค.ศ.1989 ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของสาธารณรัฐต่างๆ ในยูโกสลาเวียเริ่มก่อตัวขึ้น โครเอเชียได้จัดการเลือกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปีค.ศ.1990 และประธานาธิบดี Franjo Tudjman ได้รับเลือกตั้ง ต่อมา ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1991 โครเอเชียและสโลวีเนียได้ประกาศเอกราชจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย สมาชิกสหภาพยุโรปได้ให้การรับรองเอกราชสาธารณรัฐโครเอเชีย และสโลวีเนีย เมื่อวันที่ 15 มกราคมค.ศ.1992 และบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ.1992 เป็นผลให้หลายประเทศในยุโรปให้การรับรองประเทศดังกล่าวในเวลาต่อมา และเมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ.1992สหรัฐอเมริกา            ให้การรับรองสโลวีเนีย โครเอเชีย และบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา ประเทศไทยให้การรับรองโครเอเชียและสโลวีเนีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1992

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
มหาวิหารเซนต์ สตีเฟน (St. Stephen's Cathedral) เมืองซาเกรบ เป็นวิหารยอดแหลมทรงกรวยคู่บนยอดวิหารตกแต่งอย่างงดงาม สามารถเห็นได้จากทุกมุมในซาเกรบ แต่เดิมเป็นโบสถ์ธรรมดาแต่ เมื่อกษัตริย์ ลาดีสลาอุส (King Ladislaus) ได้ให้พระราชาคณะย้ายที่พำนักจากสีสัก (Sisak) มายังซาเกรบ ในปี ค.ศ.1094 ก็มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ถูกกองทัพมองโกลทำลายในปี ค.ศ.1242 และถูกบูรณะขึ้นใหม่อีกหลายครั้ง ลักษณะทางศิลปะแบบนีโอ กอธิคที่เห็นในปัจจุบันสร้างในปี ค.ศ.1880

เมืองโบราณบนภูเขา (Upper Town, Gondi Grad) เมืองซาเกรบ 
โบสถ์เซนต์แคทเทอรีนเป็นโบสถ์แบบบาโรคสีขาวที่น่าประทับใจผ่านห้องแสดง ภาพเขียน (Contemporary Art) ผ่านพิพิธภัณฑ์ศิลปะภาพเขียน (Naive Art) ซึ่งปฏิเสธการใช้เทคนิคชั้นสูงในการเขียนภาพ ผ่านพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โครเอเชีย พระราชวังบานซึ่งเป็นที่พำนักประธานาธิบดี มหาวิหารเซนต์มาร์ค

38_200807311447531_.jpg












 เมืองไซเบนิค

มหาวิหารเซนต์เจมส์ (Cathedral of St.James) 
สร้างขึ้นในระหว่างปีค.ศ.1431-1535 เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานกัน 3 ศิลปกรรม คือ ดาลมาเชีย (ท้องถิ่น) ศิลปะทางเหนือของอิตาลีและศิลปะทัสคานี สถาปนิกที่สร้างมหาวิหารแห่งนี้ทั้ง 3 คน แต่มาจาก 3 ท้องถิ่นคือ ดาลมาเชีย โคโม (อิตาลีเหนือติดสวิตเซอร์แลนด์) และฟลอเรนซ์ (ทัสคานี) โดยใช้เทคนิคชั้นสูงในการสร้างห้องโถงสูงใหญ่และโดมครึ่งวงกลม ทั้งวิหารล้วนสร้างด้วยหินทั้งหมดไม่มีซีเมนต์เลย บัวใต้ชายคาเป็นรูปศีรษะคน 71 ชิ้นทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะ กอธิค และ เรอแนสซองส์ ซึ่งผสมผสานเข้ากันอย่างงดงาม เป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านศิลปะจากยุคกอธิคไปสู่ยุคเรอเนซองส์ ยูเนสโกยกให้มหาวิหารแห่งนี้ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2000

38_200807311535272_.jpg









 มหาวิหารเซนต์เจมส์ (Cathedral of St.James)

เมือง Trogir 
Trogir เมืองขนาดเล็กบนเกาะที่ตั้งอยู่เกือบชิดกับแผ่นดินใหญ่ เป็นเมืองตั้งแต่ยุคกรีก และได้พัฒนาบ้านเรือนมาตามลำดับของผู้มาปกครอง ในยุคใต้การปกครองของ อาณาจักรเวนิส มีโบสถ์ และ อาคาร บ้านเรือน แบบเรอเนซองค์ และบาโรคทั่วไปได้รับฉายา แคลิฟอเนียร์แห่งโครเอเชีย

อาหารและของที่ระลึก
จากการสำรวจธุรกิจด้านอาหารในกรุงซาเกรบซึ่งเป็นเมืองหลวงของโครเอเชีย พอจะประเมินได้ว่า การเปิดร้านอาหารไทยในโครเอเชียยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากขณะนี้มีร้านอาหารไทยในกรุงซาเกรบเพียง 2 ร้าน คู่แข่งที่เป็นร้านอาหารชาติอื่นๆก็มีไม่มากนัก ร้านอาหารไทยที่เปิดก็มีชาวโครเอเชียนั่งรับประทานเต็มทุกร้าน โดยเฉพาะคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ จะต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า เพราะชาวโครเอเชียนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านและอาหารต่างชาติ การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจและใบอนุญาตทำงานในโครเอเชียสามารถทำได้ง่ายกว่าในยุโรปตะวันตก จึงควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเปิดร้านอาหารไทยและส่งสินค้าไทยไปยังโครเอเชียกันให้มากขึ้น

สาธารณรัฐตุรกี
ตุรกีเป็นประเทศที่มีดินแดนทั้งในทวีปยุโรปตอนใต้และตอนตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ซึ่งก่อนหน้าปี พ.ศ.2465 มีชื่อว่าจักรวรรดิออตโตมัน คาบสมุทรอนาโตเลียระหว่างทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นแกนกลางของประเทศตุรกีมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน มีพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรักและซีเรีย ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน
พื้นที่ 783,562 ตารางกิโลเมตร (รวมทะเลสาบและเกาะ) ประชากร 71.3 ล้านคน (2546) โดยเป็นชาวเติร์ก ร้อยละ 90 ชาวเคิร์ด ร้อยละ 20  ใช้ภาษาเตอร์กิช ( ภาษาราชการ) ภาษาเคิร์ด ภาษาอาราบิค  นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 99 ที่เหลือเป็นคริสเตียนและยิว  เมืองหลวง  คือ กรุงอังการา
โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ อนาโตเลียเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย และเป็นทางผ่านระหว่างยุโรปและเอเชีย ตลอดระยะเวลากว่า 400-500 ปีที่ผ่านมา มีชนหลายเผ่าพันธุ์เดินทางเข้ามายังอนาโตเลียและได้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของตนบนดินแดนแห่งนี้ อาณาจักรของชนเหล่านี้ได้พัฒนาเจริญรุ่งเรืองและในที่สุดก็ต้องล่มสลายไปตามกาลเวลา ความเก่าแก่และหลากหลายของอารยธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรืองบนผืนแผ่นดินแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 สิ่งที่ชาวตุรกีมีความภาคภูมิใจเป็นพิเศษสำหรับดินแดนอันเป็นประเทศตนในปัจจุบัน
ที่ราบสูงอนาโตเลียเคยเป็นที่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคหิน ยุคประวัติศาสตร์ของ           อนาโตเลียเริ่มต้นขึ้นในยุคโลหะ ประมาณ 3,000-1,200 ก่อนคริสตกาล  และเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมที่เก่าแก่และหลากหลายของชนหลายกลุ่มซึ่งได้ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครอบครอง

ภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง พื้นที่ราบต่ำอยู่ในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก มีที่ราบแคบๆ บริเวณชายฝั่ง และมีที่ราบสูงเป็นเขตฝั่งของอนาโตเลียตอนกลางของประเทศอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสาย พื้นที่ทางตะวันออกบางส่วนแห้งแล้ง และเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งแต่อุดมด้วยน้ำมัน ส่วนพื้นที่ทางตะวันตกและใต้อุดมสมบูรณ์ปลูกพืชได้หลายชนิดเพราะมีอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ภูเขาที่สูงที่สุดคือเทือกเขาอารารัต สูง 5137 เมตร ทรัพยากรที่สำคัญของประเทศคือน้ำมัน            ส่วนฝ้ายและยาสูบเป็นพืชส่งออกสำคัญ
ภูมิอากาศ
อากาศร้อนในภูมิภาคทะเลดำ อากาศแบบภาคพื้นทวีปในพื้นที่ตอนในและแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันตก

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศตุรกี




House of  Vergin  Mary บ้านของพระแม่มารีซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยและสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้

เมืองเอฟฟิซุส (City of Ephesus)





เมืองเอฟฟิซุส (City of  Ephesus) เป็นเมืองโบราณที่มีการบำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดีที่สุดเมืองหนึ่ง เคยเป็นที่อยู่ของชาวโยนก (Ionia) จากกรีก ซึ่งอพยพเข้ามาปักหลัก สร้างเมืองขึ้นที่นี่เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาถูกรุกรานเข้ายึดครองโดยพวกเปอร์เซียและกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชภายหลัง เมื่อโรมันเข้าครอบครองก็ ได้สถาปนา เอฟฟิซุสขึ้นเป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน

ห้องอาบน้ำแบบโรมันโบราณ (Roman Bath)



ยังคงเหลือร่องรอยของห้องอบไอน้ำให้เห็น และในบริเวณนี้ยังมีบ้านเศรษฐีที่ประดับตกแต่งด้วยกระเบื้อง หลากสีปูพื้นอย่างสวยงาม มีห้องสมุดโบราณที่มีวิธีการเก็บรักษาหนังสือ จัดเป็นศิลปะแบบเฮเลนนิสติคที่มีความประณีต อ่อนหวาน

โบสถ์นักบุญเซนต์ จอห์น (Bacilic of St.John)
สาวกของพระเยซูคริสต์ที่ออกเดินทางเผยแพร่ศาสนาไปทั่วดินแดนอนาโตเลียหรือประเทศตุรกีในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์เมฟลานา (Mevlana Museum)
เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1231 โดยเมฟลานา เจลาเลดดิน รูบี ซึ่งเชื่อกันว่าชายคนนี้เป็นผู้วิเศษของศาสนา อิสลาม หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้ชักชวนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม โดยมีพื้นฐานอยู่บนความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน

เมืองคัปปาโดเกีย
ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ขึ้นชมดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์ซึ่งเกิดจากลาวาภูเขาไฟที่ไหลออกมาปกคลุมพื้นที่ เมื่อวันเวลาผ่านไป พายุ ลม ฝน  ได้เป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิดการแปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหินและเสารูปทรงต่างๆ              ที่งดงาม 


นครใต้ดิน (Underground City of Derinkuyu or Kaymakli)

เป็นที่หลบซ่อนจากการรุกรานของข้าศึกพร้อมทั้งยังมีระบบระบายอากาศและสภาพวิถี ชีวิตความเป็นอยู่ใต้ดินพร้อมสรรพ



พระราชวังทอปกาปิ (Topkapi  Palace)






ในอดีตเคยเป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งราชวงศ์ออตโตมัน พร้อมทั้งเข้าชมฮาเร็มเขตหวงห้าม ซึ่งในอดีตกาลใช้เป็นที่อยู่ ของนางใน ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปึกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่า อาทิเช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านฯลฯ



พระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace)
เป็นพระราชวังที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรมและทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง มีศักยภาพทางการทหารทั้งทัพบกและทัพเรืออันเป็นที่ครั่นคร้ามไปทั่วทุกทวีป ตั้งแต่ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ตอนใต้ของอิตาลี และทางด้านยุโรปตะวันออกจรดกรุงเวียนนา พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยสุลต่านอับดุล เมอซิท ในปี ค.ศ.1843 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 12 ปี เพราะความที่สุลต่านทรงเป็นคลั่งไคล้ยุโรปอย่างสุดขอบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนการทหาร ล้วนคัดลอก มาจากตะวันตกทั้งสิ้น รวมทั้งพระราชวังแห่งนี้ ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกคู่ใจชาวอาเมเนี่ยน ชื่อ บัลยัน เป็น ศิลปะผสมผสานของยุโรปและตะวันออกที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามไม่คำนึงถึงความสิ้นเปลือง
ภายนอกประกอบด้วยสวนไม้ดอกรายล้อมพระราชวังซึ่งอยู่เหนืออ่าวเล็กๆ ที่ช่องแคบบอสฟอรัส ภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆ และฮาเร็ม ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูก  กรงแก้วเจียรไน และโคมไฟมหึมาหนัก 4.5 ตัน นาฬิกาทุกเรือนของที่นี่จะชี้เวลา 09.05 น. เป็นนิจนิรันดร์เพื่อระลึกถึงเวลาของการจากไปเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ.1938 ของคามาล อาตาเติร์ก (Kamal Ataturk) วีรบุรุษของชาติผู้บดขยี้กองทัพอังกฤษที่กาลิโปลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

โกเรเม่และหุบเขาแห่งปล่องไฟ
โกเรเม่ ตั้งอยู่ท่ามกลางเสาหินรูปปล่องไฟเป็นเมืองที่อยู่ในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่าคาปาโดเกียในตุรกี ซึ่งอยู่ในจังหวัดเนฟเชียร์ของแคว้นอนาโตเลียตอนกลาง โดยอุทยานแห่งชาติโกเรเม่ (Göreme Milli Parklar ในภาษาเตอร์กิช) ถูกจัดให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกเมื่อปี 1985




อุทยานนี้ถูกเรียกว่า หุบเขาหินรูปปล่องไฟ ซึ่งหลังจากการแข็งตัวของหินรูปร่างแปลกๆ ที่มีอยู่โดยทั่วไปในแคว้นนี้ ทำให้มีพื้นที่ที่มีขนาด 9,572 เฮคเตอร์ (23,653 เอเคอร์) ประกอบได้ด้วยภูเขาไฟ 3 ลูก คือ ภูเขาไฟ เออร์ซิเยส, ฮาซาน และเมเลนดิซ (Erciyes, Hasan and Melendiz) สำหรับภูเขาไฟดาวลารี (Daðlari) นั้น ระเบิดไปแล้วเมื่อ 30 ล้านปีก่อน
ผลจากการระเบิดทำให้เกิดเศษเถ้าภูเขาไฟ และหินที่ยังไม่แข็งตัวก็ถูกกัดกร่อนอย่างง่ายดาย จนมีรูปร่างพิเศษเช่น ภูเขาโต๊ะ ปล่องไฟ และรูปคลื่น จนหลายร้อยปีต่อมา คนพื้นเมืองได้เจาะหินเหล่านี้ทำเป็นบ้าน รวมทั้งทำเป็นเกสต์เฮาส์

จากยุคแรกของการตั้งถิ่นฐานที่แคว้นนี้ จนมาถึงยุคโรมันในช่วงคริสตศาสนา เซนต์ปอลได้มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่แคว้นนี้ในช่วงต้นคริสตศักราช สิ่งน่าสนใจของคัปปาโดเกียคือ แนวโบสถ์หินและวัดที่ถูกซ่อนตัวอยู่เพื่อให้พ้นจากการติดตามของผู้รุกรานชาวอาหรับ เมืองโกเรเม่ยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยังคงรักษาสภาพบ้านเรือนและโบสถ์ที่เขียนภาพเฟรซโกให้เห็นอยู่ท่ามกลางสถานที่ทางประวัติศาสตร์เช่น โบสถ์ Ortahane, Durmus Kadir, Yusuf Koc and Bezirhane               ในโกเรเม่แล้วยังมี Tokali Kilise, the Apple Church และงานแกะสลักจากหินอีกด้วย

อาหารประจำชาติตุรกี
กะบับ (Kebap หรือ Kebab) ที่คนไทยและชาติอื่นๆ รู้จักชื่อเสียงกันดีคือ ชิสกะบับ (Shish kebap) ซึ่งต้นตำรับตุรกีแท้ๆ จะเป็นเนื้อแกะเสียบไม้หรือเหล็ก แล้วนำไปย่างบนเตาถ่าน  ซึ่งถ้าคนทำชำนาญจริงๆ เนื้อด้านนอกต้องเกรียมโดยที่ด้านในยังนุ่มชุ่มฉ่ำและมีแต่เนื้อแกะล้วนๆ  คนไทยใช้ทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู หรืออาหารทะเล แถมด้วยผัก ผลไม้ อย่างหอมใหญ่ มะเขือเทศ พริกหวาน และสับปะรด 
กะบับแปลเป็นไทยว่าย่าง”  กะบับในภาษาตุรกีจึงหมายถึงอาหารที่นำมาย่าง             ซึ่งโดยปกติจะหมายถึงเนื้อแกะย่าง  แต่อาจเป็นไก่หรือแม้แต่เกาลัดย่างก็ได้  แต่กะบับที่เป็นอาหารประจำชาติตุรกีคือ โดเนอร์กะบับ (Döner kebap) แปลเรียงคำว่า หมุนย่าง  ส่วนมากจะเป็นเนื้อแกะเสียบอยู่ในแท่งเหล็กที่วางแนวตั้งบนแท่นหมุน  ย่างไฟจนเกรียมแล้วเฉือนเป็นชิ้นบางๆ  
คำว่า Döner ของตุรกีตรงกับคำว่า Gyro หรือ Gyros ของกรีกซึ่งแปลว่า "หมุน" เหมือนกัน ดังนั้นตามร้านในศูนย์การค้าของประเทศต่างๆ อย่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่มีคำว่า Gyros ก็แน่ใจได้ว่าขายเนื้อหมุนย่างเช่นกัน แต่เสิร์ฟกับขนมปังพิต้า (Pita Bread)

แบบฝึกหัดบทที่ 10

1. พระสันตะปาปาทรงนำดินแดนอิตาลีส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในสมัยใด
ตอบ__________________________________________________
2. Papal State เกิดขึ้นเมื่อใด
ตอบ________________________________________________________________
3. ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างชาติอิตาลี ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่19 คือใคร
ตอบ .......................................................................................................................
4. ในอดีตสนามกีฬาColosseum(กรุงโรม)จุผู้ชมได้กี่คน
ตอบ________________________________________________________________
5. จุดกำเนิดของเสียงเพลงทรี คอยน์ ออฟ เดอะ ฟาวด์เท่นที่กรุงโรมคืออะไร
ตอบ ________________________________________________________________
6. มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันเนื่องจากอะไร
ตอบ________________________________________________________________
7. นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียน ซึ่งทดลองเรื่องความเร็วของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง ณ หอเอนปิซา คือ ใคร
ตอบ________________________________________________________________
8.  ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม ( L'Hexagone ) เนื่องจากอะไร
ตอบ________________________________________________________________
9. หอไอเฟล ( Tour Eiffel) ตั้งอยู่ที่ใด
ตอบ________________________________________________________________
10. พระราชวังแวร์ซายลส์ ตั้งอยู่ในกรุงปารีสเป็นพระราชวังที่สวยงามน่ามหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่งของโลกสร้างโดยใคร
ตอบ________________________________________________________________
11. ภาพเขียนโมนาลิซาของดาวินชี ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ใด
ตอบ________________________________________________________________

12. สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงตั้งแต่ปี 1863 เมื่อใครจัดทัวร์ครั้งแรกจากอังกฤษไปยังสวิสเซอร์แลนด์
ตอบ________________________________________________________________

13. พวกที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alp)ในสวิสเซอร์แลนด์เมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสตศักราชคือคนกลุ่มใด
ตอบ________________________________________________________________

14. ในยุคจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) สนธิสัญญา Verdun ในปี ค.ศ. 834 ทำให้พื้นที่บริเวณตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ (Burgundain) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Lothair ที่ 1 ส่วนทางด้านตะวันออก (Alamannic) อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์องค์ใด
ตอบ________________________________________________________________

15. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1และครั้งที่2ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางการทหารบทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อะไร
ตอบ________________________________________________________________

16. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นประเทศในสนธิสัญญาเช็งเก็น (Schengen Agreement)  ซึ่งกำหนดใจความสำคัญไว้ว่าอย่างไร
ตอบ________________________________________________________________
17. อาหารขึ้นชื่อของซูริค คือ อะไรบ้าง
ตอบ________________________________________________________________

18. ปราสาทที่ปรากฎอยู่ในการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์ นำรูปแบบมาจากปราสาทอะไรในประเทศเยอรมนี
ตอบ________________________________________________________________

19. มืองต้นกำเนิดของชีสยี่ห้อเอ็มเมนทัล (Emmental) และช็อกโกแลตทรงสามเหลี่ยมท็อปเบิลโรน
     (Toblerone) คือเมืองอะไร
ตอบ________________________________________________________________

20. สัญลักษณ์ของเมืองเบิร์นคืออะไร
ตอบ_______________________________________________________________________________
21. อนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument) มีความสำคัญอย่างไร
ตอบ________________________________________________________________

22. เมืองศูนย์กลางการจัดนิทรรศการ (Exhibition) หลักอีกเมืองหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือ เมืองอะไร
ตอบ________________________________________________________________
23.พิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการยกย่องด้านความสวยงามเป็นอันดับสองของโลก และถือได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมาดริด รวมทั้งเป็นแหล่งสะสมภาพเขียนล้ำค่าแห่งหนึ่งของโลก คือ พิพิธภัณฑ์อะไร
ตอบ_______________________________________________________________________________________________________
24. ปลาซ่า มายอร์  (Plaza Mayor) มีความสำคัญอย่างไร
ตอบ________________________________________________________________

25. ผลงานส่วนใหญ่ของศิลปินเอกของโลก ปิกัสโซที่พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ  ในเมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน อุทิศให้แก่ใคร
ตอบ________________________________________________________________

26. เทศกาลวิ่งวัวกระทิงของเมืองแปมโปรนาในสเปนจัดขึ้นในวัน Siant Fermin' Day เดือนกรกฎาคมของทุกปี จะมานักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเพื่ออะไร
ตอบ________________________________________________________________


27. ข้าวหมกสเปน (Paella )มีต้นกำเนิดจากที่ใด
ตอบ________________________________________________________________

28. Sangria เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสเปน มีส่วนผสมของอะไรบ้าง
ตอบ ________________________________________________________________
29. ชาวโครแอทอพยพมาจากทางเหนือของยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่6และอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอะไรจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9
ตอบ ________________________________________________________________
30. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 2488 ภายใต้การนำของจอมพลติโต(MarshallJosip Broz Tito)โดยประกอบด้วยสาธารณรัฐและมณฑลอะไรบ้าง
ตอบ________________________________________________________________

31. ประเทศไทยให้การรับรองเอกราชของประเทศโครเอเชียเมื่อใด 
ตอบ________________________________________________________________
32. ปัจจุบันมหาวิหารเซนต์ สตีเฟน (St. Stephen's Cathedral ) ที่มืองซาเกรบมีลักษณะทางศิลปะแบบใด
ตอบ________________________________________________________________
33. มหาวิหารเซนต์เจมส์ (Cathedral of St.James) ที่เมืองไซเบนิค ซึ่งสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1431-1535 เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างศิลปะอะไรบ้าง
ตอบ________________________________________________________________
34. ได้รับ ฉายา แคลิฟอเนียร์แห่งโครเอเชียคือเมืองอะไร
ตอบ________________________________________________________________
35. ชื่อเดิมของประเทศตุรกีคืออะไร
ตอบ ________________________________________________________________
36. House of  Vergin Mary บ้านของพระแม่มารี มีความสำคัญอย่างไร
ตอบ________________________________________________________________
37. เมืองเอฟฟิซุส มีความสำคัญอย่างไรต่อจักรวรรดิโรมัน
ตอบ________________________________________________________________
38. พระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce  Palace) สร้างโดยใคร
ตอบ________________________________________________________________
39. เหตุใดนาฬิกาทุกเรือนของพระราชวังโดลมาบาชเช่จึงชี้เวลา 09.05 น. เป็นนิจนิรันดร์
ตอบ________________________________________________________________

40.อาหารประจำชาติตุรกี คืออะไร
ตอบ________________________________________________________________

บรรณานุกรม

 กอบเกื้อ  สุวรรณทัต-เพียรบรรณาธิการอารยธรรมตะวันตกฉบับปรับปรุงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2522.
กำจร  สุนพงษ์ศรีศิลปะตะวันตกกรุงเทพฯคาร์เดีย  เพรสบุ๊ค, 2524.
ชูสิริ  จามรมานอารยธรรมตะวันตกกรุงเทพฯมหาวิทยาลัยศิลปากร. 2526.
ดาว  ปิ่นเฉลียว. บรรณาธิการ. สงครามทรอยและตำนานวีรบุรุษ. กรุงเทพฯ: พี.วาทินพรินติ้ง จำกัด, 2547.
ศุภชัย  สิงห์ยะบุศย์ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกฉบับสมบูรณ์กรุงเทพฯวาตศิลป์, 2547
อนันต์ชัย  เลาหะพันธุ์อารยธรรมตะวันตกกรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2529.
อัธยา  โกมลกาญจน์. ประวัติศาสตร์อารยธรรมกรีก-โรมันกรุงเทพฯมหาวิยาลัยรามคำแหง, 2524.


Columbia Encyclopedia, the, 1963
Edward Lucie-Smith,  Art and Civilization, 1992.
http://www.designer.in.th
http://www.wikipedia.org
http://www.sacred-destinations.com
http://travelguide.com
http://www.google.co.th
http://www.skn.ac.th
http://home.psu.ac.th
http://www.cartoonstock.com
http://shyo2.multiply.com
http://www.vangoghgallery.com
http://www.arts-oilpaintings.com