โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
กำเนิดของจักรวรรดิไบแซนไทน์
จักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก ถือกำเนิดจากการที่จักรพรรดิไดโอเคลเตียน (ค.ศ.285-305) ทรงดำริว่า จักรวรรดิโรมันอันมีดินแดน กว้างใหญ่ไพศาลควรมีการปกครองแบบTretarchy
คือ แบ่งศูนย์กลางทางการปกครองออกเป็น 2 ส่วน
ได้แก่
จักรวรรดิโรมันตะวันตกกับจักรวรรดิโรมันตะวันออก
จักรวรรดิโรมันตะวันตกมีพื้นที่ครอบคลุมยุโรปตะวันตก
มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม
จักรวรรดิโรมันตะวันออกมีพื้นที่ครอบคลุมดินแดนในยุโรปตะวันออก
ชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียน (มณฑลเลอวังต์)
เอเชียไมเนอร์
ปาเลสไตน์ ซีเรีย อียิปต์ มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณ ไบแซนติอุม ต่อมาในปีค.ศ.346 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงสร้างเมืองคอนสแตนติโนเปิลขึ้นที่ไบแซนติอุม(Bizantium)ในยุโรปตะวันออก
เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองจักรวรรดิโรมันทางด้านตะวันออกเรียกว่า จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์
ไบแซนติอุมจึงได้ชื่อใหม่ว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล แต่นิยมเรียกกว่า “โรมใหม่”
จักรวรรดิโรมันตะวันออกแยกตัวออกจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ในศตวรรษที่ 7
จักรวรรดิโรมันตะวันออกมีพื้นที่ลดน้อยลงเนื่องจากการรุกรานของ
ชาวมุสลิมที่ยกเข้ามายึดครองคาบสมุทรไอบีเรีย เหลือพื้นที่เพียงยุโรปตะวันออก กับสองฝั่งของทะเลอีเจียนและเอเชียไมเนอร์ (กอบเกื้อ,
2528, 110) นอกจากนี้ยังต้องยอมรับรองฐานะของจักรวรรดิคาโรลินเจียนในยุโรปตะวันตกเมื่อค.ศ.812 และมีความขัดแย้งทางศาสนาด้วย
จักรวรรดิไบแซนไทน์จึงมีฐานะอ่อนแอมาก
การปกครองของจักรวรรดิไบแซนไทน์
จักรวรรดิไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกมีการปกครองแบบเอกาธิปไตย (Autocrat)
โดยจักรพรรดิทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งด้านการปกครองจักรวรรดิและทางศาสนา
เพราะทรงเป็นตัวแทนแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย(ซึ่งจักรพรรดิแห่งโรมันตะวันตกไม่เคยอ้างสถานภาพนี้) ทรงดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสูงสุดในจักรวรรดิ
และทรงใช้อำนาจผ่านขุนนางทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
จักรวรรดิโรมันตะวันออกมีอายุยืนยาวตั้งแต่ค.ศ.330-1453 เนื่องมีสภาพภูมิประเทศเหมาะสมคล้ายป้อมปราการ
มีเทือกเขาถึงเจ็ดเทือกและแม่น้ำล้อมรอบ
มีกำแพงแข็งแรงและมีที่ตั้งคุมจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร ทำให้ยากต่อการเข้าตี
ปัญหาสำคัญที่ทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์เสื่อมอำนาจ คือ ความขัดแย้งภายในทางศาสนา
และการชิงดีชิงเด่นระหว่างกรุงโรมกับกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันนำมาสู่ความหวาดระแวง
จนไม่สามารถต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิมุสลิมในเอเชียไมเนอร์ ยุโรปและแอฟริกาได้
ความอ่อนแอของสถาบันจักรพรรดิในชั้นหลังก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ถูกจักรวรรดิมุสลิมยึดครองในตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่15
พื้นฐานความเจริญของจักรวรรดิไบแซนไทน์ล้วนได้รับโดยตรงมาจากอารยธรรมกรีก
ดังนั้นศิลปวัฒนธรรมของกรุงคอนสแตนติโนเปิลจึงแตกต่างจากจักรวรรดิโรมันตะวันตก กล่าวคือขณะที่โรมันตะวันออกใช้ภาษากรีก
โรมันตะวันตกกลับใช้ภาษาละติน
ขณะที่คอนสแตนติโนเปิลตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เหตุผลและปัญญา
โรมันตะวันตกกลับเน้นศรัทธาแรงกล้า
ในศาสนาและละทิ้งการใช้เหตุผล (กอบเกื้อ, 2528, 111)
จักรวรรดิไบแซนไทน์และคริสตศาสนา
สถาบันคริสต์ศาสนาของโรมันตะวันตกมีความแตกต่างจากโรมันตะวันออกหลายด้าน
ทำให้กรุงคอนสแตนติโนเปิลกลายเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาแบบ Christian Hellenism ซึ่งต่อมาในศตวรรษที่ 11 ได้กลายเป็นนิกายออร์โธดอกซ์ แพร่หลายอยู่ในยุโรปตะวันออก
รัสเซียและกรีก
นิกายนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างความเชื่อเดิมในโลกคลาสสิก (โลกของชาวกรีก หมายถึงอารยธรรมกรีก) กับคำสอนในคริสต์ศาสนาที่ผ่านการตีความของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ทำให้นิกายนี้เชื่อว่าจักรพรรดิเป็นตัวแทนของพระเจ้า จึงทรงมีอำนาจเด็ดขาดเหนือสถาบันศาสนา โดยนักบวชไม่อาจอ้างสิทธิเหนือจักรพรรดิดังที่ปรากฏในจักรวรรดิโรมันตะวันตก
ในปีค.ศ.325 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงจัดลำดับเมืองสำคัญทางศาสนาเป็น
5 เมืองคือ โรม คอนสแตนติโนเปิล อเล็กซานเดรีย แอนดิออชและเยรูซาเล็ม
โดยให้โรมมีความสำคัญอันดับหนึ่ง คอนสแตนติโนเปิลมีความสำคัญอันดับสอง
อีกสามแห่งมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
การลำดับความสำคัญเช่นนี้ทำให้ศูนย์อื่นๆไม่พอใจ
เพราะกรุงคอนสแตนติโนเปิลไม่มีความสัมพันธ์ทางประวัติคริสต์ศาสนา
แต่ฝ่ายคอนสแตนติโนเปิลก็อ้างฐานะการเป็นเมืองหลวงและเป็นที่ประทับของจักรพรรดิซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้า
ทำให้กรุงโรมยุยงให้เมืองอเล็กซานเดรียและเมืองแอนดิออชก่อความวุ่นวาย เมื่ออาณาจักรเปอร์เซียยึดครองซีเรียและอียิปต์ได้ก็ยิ่งทำให้คอนสแตนติโนเปิลห่างเหินกับโรมมากยิ่งขึ้น
การเกิดนิกายกรีกออร์โธดอกซ์และโรมันคาธอลิก
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8
จักพรรดิเลโอที่ 3 (Leo
III ค.ศ.717-741) ทรงยกเลิกการเคารพบูชารูปเคารพและรูปปั้นทั้งในโรมันตะวันออกและโรมันตะวันตกทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เป็นเหตุให้สถาบันจักรพรรดิสูญเสียอำนาจ ครั้นถึงศตวรรษที่ 9 จึงมีการยกเลิกประกาศดังกล่าวเสียเพื่อยุติปัญหา
แต่ก็ไม่สามารถฟื้นฟูอำนาจของสถาบันจักรพรรดิได้สำเร็จ
ทำให้คอนสแตนติโนเปิลแยกกันทางปฏิบัติศาสนกิจในช่วงนี้ และแยกกันอย่างเป็นทางการ ในปีค.ศ.1054
เมื่อคอนสแตนติโนเปิลไม่ยอมรับการตีความของโรมเกี่ยวกับพิธีการรับศีลมหาสนิท
และการที่โรมประกาศว่าพระสันตะปาปามีอำนาจเหนือศูนย์กลางทางคริสต์ศาสนาแห่งอื่นๆ
ทำให้ศาสนาคริสต์แบ่งแยกออกเป็นสองนิกายคือกรีกออร์โธด็อกซ์และโรมันคาธอลิกในค.ศ.1054
จักรวรรดิไบแซนไทน์และความสำคัญที่มีต่อโลกตะวันตก
พัฒนาการยาวนานในช่วง 1,000 ปี ทำให้อารยธรรมของจักรวรรดิไบแซนไทน์ มีอิทธิพลต่อยุโรปร่วมสมัยและยุโรปยุคหลังมากมายดังนี้
กฎหมายและการปกครองของไบแซนไทน์ มีการรวบรวมและปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งจำแนกได้เป็น 4 ส่วนได้แก่
- Code คือ บรรดากฎหมายที่ใช้มาแต่โบราณ
- Digestคือประมวลความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายต่างๆ
- Institutesคือตำรากฎหมาย
- Novels
คือภาคผนวกของ Codeและประมวลความเห็นของจักรพรรดิสมัยต่างๆ
ประมวลกฎหมายสำคัญเป็นของจักรพรรดิจัสติเนียน เรียกว่า Corpus Juris Civilis
หรือ
Justinian Code
ซึ่งมีการปรับปรุงมาโดยตลอด และยังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปตะวันออกในปัจจุบัน
การปกครองของจักรวรรดิไบแซนไทน์แบบเอกาธิปไตย ได้สืบทอดมาสู่ชนชาติสลาฟหลายประเทศในยุโรปตะวันออก
อาทิ ระบบการปกครองของพระเจ้าซาร์ในรัสเซีย (มีอำนาจทั้งด้านการเมือง การทหารและศาสนา) จักรพรรดิทรงใช้อำนาจส่วนภูมิภาคผ่านขุนนาง
สถาบันจักรพรรดิดำรงอยู่ได้จากการสนับสนุนของกองทัพ
การมีระบบเงินที่มั่นคงและมีสถาบันศาสนาที่สั่งสอนให้ประชาชนจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
(กอบเกื้อ, 2528, 120)
ศิลปวิทยาการไบแซนไทน์
จักรวรรดิไบแซนไทน์ได้สืบทอดผสมผสานศิลปวิทยาการของโลกคลาสสิก(กรีก)และโลกมุสลิมให้เข้ากับคริสต์ศาสนาไว้ได้ครบถ้วน
มีการเลียนแบบวรรณกรรมกรีก แต่งานสร้างสรรค์ของจักรวรรดิไบแซนไทน์จริงๆ คือ แนวคิดทางเทววิทยา
ทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น จอห์น เดอะ เกรมาเรียน (John the Grammarian) เสนอทฤษฎีเรื่องความเร็วของวัตถุในสูญญากาศมิได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของวัตถุนั้นๆ
ส่วนไอติอุส(ค.ศ.396-454) ก็ได้ค้นพบการรักษาโรคคอตีบและโรคตา นอกจากนี้ซีโมนเสธ (Symoen Seth) เขียนสารานุกรมทางการแพทย์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากชาวฮินดูและมุสลิม
ทางด้านศิลปะนั้น จักรวรรดิไบแซนไทน์
ได้ผสมผสานรูปแบบศิลปะกรีก โรมันและเปอร์เซียอย่างกลมกลืน
งดงามทั้งด้านการตกแต่งและโครงสร้าง
สิ่งเหล่านี้ทำให้นักวิชาการถือว่า
จักรวรรดิไบแซนไทน์
เป็นคลังด้านศิลปวิทยาการของกรีก
โรมันและโลกมุสลิมที่ถ่ายทอดแก่โลกตะวันตกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 ตามลำดับ
มหาวิหารซานตา
โซเฟียเป็นสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ที่ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุด สร้างสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่6

มหาวิหาร Hagia
Sophia (Santa Sophia) 532-537 AD.ถ่ายแบบจากวิหารPantheon ในกรุงโรม
จิตรกรรมและภาพโมเซอิกแบบไบแซนไทน์

ภาพโมเซอิกบอกความหมายว่าพระคริสต์ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง (Christ Pantocrator) ที่ Daphni ใกล้กรุงเอเธนส์ 1020
AD.

ภาพพระคริสต์ทรงประทับยืนระหว่างเซนต์ปีเตอร์และเซนต์ปอลอย่างสง่างาม ที่วิหารนักบุญคอสมาส์และนักบุญเดเมียน
กรุงโรม (526
AD.)พระคริสต์ทรงเป็นทั้งผู้ช่วยของพระยะโฮห์วาและผู้สืบทอดของเทพซีอุส
ภาพนี้มีความหมายคล้ายกับภาพ Christ Pantocrator
ข้างบน

ภาพโมเซอิกมีพื้นสีสดใส
จักรพรรดิจัสติเนียนและจักรพรรดินีธีโอดอราพร้อมเครื่องสักการะที่วิหารซาน วิตาลี
เมืองราเวนนา (547
AD.)
มีภาพของบิชอปแมกซิเมียน
ยืนเบียดจักรพรรดิอย่างไม่น้อยหน้า เพราะเป็นผู้ออกแบบวิหารแห่งนี้

ภาพเขียนชื่อ The Anastasis (14th century) ที่วิหารแห่ง Kariye
Camii เมือง อิสตันบูล
บรรยายความน่ากลัวของความตายและความหวังที่มีต่อการมีชีวิตใหม่

ภาพโมเซอิกเล่าเรื่องกำเนิดแห่งพรหมจรรย์ (พระแม่มารี, 1315-1341 AD.) สะท้อนวิถีชีวิตในสมัยไบแซนไทน์
ศาสนา
ศาสนาในจักรวรรดิไบแซนไทน์
พัฒนามาจากคริสต์ศาสนาแบบกรีกนิยม (Hellenic Christianity) มีผลทำให้ศาสนาคริสต์แยกออกเป็นสองนิกาย คือกรีกออร์โธด็อกซ์นับถือกันในยุโรปตะวันออกและโรมันคาธอลิกนับถือในยุโรปตะวันตกอย่างเด่นชัด
และแม้ว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์จะสลายตัวไปแล้วในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แต่ชาวยุโรปตะวันออกยังคงยึดถือนิกายกรีกออร์โธด็อกซ์สืบมา
ศูนย์กลางของนิกายได้ย้ายไปที่มอสโคว์(ซึ่งได้ชื่อว่า“โรมที่ 3”)แทนกรุงคอนสแตนติโนเปิล (กอบเกื้อ, หน้า 124-125)
การศึกษา
ในสมัยราชวงศ์พาโลเลอุส (Pololeus ค.ศ.1294-1453)
มีการศึกษาตามแนวคิดแบบกรีก-โรมันอย่างกว้างขวาง และมีการเผยแพร่วิทยาการกรีก-โรมันเข้าสู่ยุโรปตะวันตกอย่างมากโดยเฉพาะในศตวรรษที่14 นักการศึกษาคนสำคัญคือ Manuel
Chrysolorus ราชทูตไบแซนไทน์ ในยุโรปที่กระตุ้นให้ยุโรปสนใจวิทยาการของไบแซนไทน์ที่อิตาลีส่วน George Gemistos Plethon ปรมาจารย์ด้านการศึกษาปรัชญากรีกคลาสสิก(ผลงานของเพลโต) ได้กระตุ้นให้มีการตั้งสถาบันเพลโตขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ จนกลายเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศิลปวิทยาการโลกคลาสสิกในยุโรปตะวันตก ฯลฯ
ซึ่งทำให้เกิดขบวนการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรปตะวันตกในเวลาต่อมา
ศาสนาอิสลามกับอารยธรรมตะวันตก
ศาสนาอิสลามหรือศาสนาของพวกซาราเซน (Saracenic) เกิดขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7
ในคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งเป็นเขตทะเลทรายแห้งแล้งและเป็นถิ่นฐานของชนเผ่าเร่ร่อนชาวอาหรับ
(Arabians)
และชาวเบดูอิน
(Beduins) คนเหล่านี้มีความเป็นอยู่ต่างกับชาวเปอร์เซียนที่เจริญกว่ากันมาก เมืองของชาวอาหรับบางเมืองเท่านั้นที่มีความเจริญ เช่น เมืองเม็กกะ
ซึ่งสนใจแต่เรื่องการค้ามากกว่าจะสร้างอารยธรรมของชาวอาหรับ
พระมะหะหมัดทรงเป็นชาวอาหรับบุคคลแรกที่ทำให้ชนเผ่าพันธุ์อาหรับเลิกพฤติกรรมแตกแยกและสู้รบกันเอง เลิกนับถือพระเจ้าหลายองค์และปราศจากเป้าหมายในชีวิต กลายเป็นพลเมืองของพระเจ้า
มีจักรวรรดิยิ่งใหญ่เจริญก้าวหน้าและเป็นบ่อเกิดวิทยาการหลากหลายยิ่งกว่ายุโรปตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน (กอบเกื้อ, 2528, 124-125)
คำว่าซาราเซนนิก หมายถึง ชาวอาหรับที่เป็นต้นกำเนิดศาสนาอิสลาม
ต่อมากลายเป็นคำเรียกผู้นับถือศาสนาอิสลามทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชาวอาหรับ เปอร์เซียน
ยิวหรือเตอร์ก
ศาสดามะหะหมัด
ศาสดามะหะหมัดเกิดในตระกูลพ่อค้าวงศ์กูไรซิด
เมื่อโตขึ้นได้คุมคาราวานค้าขายแล้วแต่งงานกับหญิงหม้าย การเดินทางทำให้มีวิสัยทัศน์ จากการพบพ่อค้าชาวฮิบรู ชาวคริสต์และพ่อค้าที่นับถือศาสนาโซโรแอสเตอร์ (ชาวเปอร์เซีย) ครั้นอายุ40ปีก็ประกาศตัวเป็นศาสดาพยากรณ์องค์สุดท้ายเพื่อเผยแพร่คำสอนของพระอัลหล่าห์
ระยะแรก ศาสนาอิสลามไม่ประสบความสำเร็จ พระมะหะหมัดทรงต้องใช้เวลาถึง 9 ปี ต่อมาจึงถูกขับไล่จากเมืองเม็กกะไปยังเมืองเมดินาเมื่อปีค.ศ.622 ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีเริ่มฮิจเราะศักราช(Hegira แปลว่า Flight คือ
การลี้ภัย) การเผยแพร่ศาสนาที่เมืองเมดินาประสบความสำเร็จด้วยดี
พระมะหะหมัดทรงได้รับการสถาปนาเป็นผู้ครองเมืองเมดินา
คำสอนในศาสนาของพระมะหะหมัดเน้นความมีระเบียบวินัย
กฎระเบียบของสังคมและการปกครอง
ทำให้ดินแดนเผ่าพันธุ์อาหรับกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่
อิสลาม แปลว่า การยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าคือพระอัลหล่าห์เพียงพระองค์เดียว
พระคัมภีร์อัลกุรอาน
(Koran) ถูกรวบรวมไว้หลังจากพระมะหะหมัดสิ้นพระชนม์
ถือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตและพันธะทางการเมืองของชาวมุสลิม
ศาสนาอิสลามสอนเรื่องการนอบน้อมถ่อมตน
เอื้อเฟื้อ อดกลั้น
สามัคคีรักใคร่ฉันท์พี่น้องและอุทิศชีวิตเพื่อศาสนา เป็นต้น ศาสนาอิสลามแบ่งเป็น
3 นิกาย คือ
1. นิกายสุหนี่ (Suni) เป็นกลุ่มที่สืบทอดมาจากเชื้อสายราชวงศ์อุมัยยาร์ด แพร่หลายในซีเรียและอียิปต์
เชื่อว่าประมุขของรัฐอิสลามและผู้สืบทอดตำแหน่งกาหลิบควรได้รับการคัดเลือกโดยตรงจากผู้แทนของชาวมุสลิมทั้งหมดตามประเพณีอาหรับโบราณในการเลือกหัวหน้าเผ่า
นิกายนี้ยึดถือความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์อัลกูรอานและธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบมาในสมัยพระมะหะหมัด
2. นิกายชิอะห์ (Shiite) เลื่อมใสบุตรเขยของพระมะหะหมัด (อาลี) และเชื้อสาย หมายถึงยึดถือสายเลือดและการเกี่ยวดองของพระมะหะหมัดเป็นสำคัญ
ไม่เห็นด้วยกับระบบเลือกตั้ง
การปกครองดินแดนของรัฐที่นับถือนิกายชิอะห์ จึงเน้นสิทธ์ขาดของผู้ปกครอง
นิกายนี้เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์อัลกูรอาน
มีศูนย์กลางอยู่ที่คาบสมุทรอาหรับและประเทศอิรัก
3. นิกายซูฟีร์ (Sufir) เน้นการติดต่อกับพระเจ้าด้วยวิถีทางเร้นลับ มิอาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล
การเข้าถึงสัจจะของพระเจ้าทำได้ด้วยการทรมานร่างกายเพื่อให้จิตหลุดพ้นจากการคุมขังของร่างกายไปสัมผัสโลกอันลี้ลับของพระเจ้า
นิกายนี้จึงสละความมั่งคั่ง หันไปใช้ชีวิตแบบยากไร้ เน้นหลักการทางศาสนาแบบบริสุทธิ์ ไม่สนใจการตีความทางการเมือง
การขยายตัวของจักรวรรดิมุสลิม
หลังการสิ้นพระชนม์ของพระมะหะหมัดในค.ศ.632 จักรวรรดิมุสลิมมีการการปกครองโดยมีกาหลิบ
และมีการแย่งชิงอำนาจโดยเชื้อพระวงศ์ของพระมะหะหมัดฝ่ายบิดาของมเหสีแต่ตอนหลังมีนายพลผู้หนึ่งชิงอำนาจไปแล้วตั้งราชวงศ์อุมัยยาร์ด
ส่วนราชธานีของจักรวรรดิมุสลิมย้ายไปยังเมืองดามัสกัส (ซีเรียปัจจุบัน) ทำให้ศูนย์กลางของจักรวรรดิมุสลิมเปลี่ยนจากคาบสมุทรอารเบียเป็นบริเวณแถบเมโสโปเตเมีย จากนั้นจึงขยายอำนาจเข้าไปในยุโรป ก่อตั้งอาณาจักรมุสลิมในสเปน อิตาลีตอนใต้และแอฟริกาตอนเหนือ
หลังการสิ้นสุดของราชวงศ์อุมัยยาร์ดในคริสต์ศตวรรษที่
8 ราชวงศ์อับบาซิด มีอำนาจแทนที่แล้วย้ายเมืองหลวงไปยังแบกแดด ทำให้เกิดความเจริญสูงสุดระหว่างคริสต์ศตวรรษที่
8-9 แต่หลังคริสต์ศตวรรษที่
9 ราชวงศ์อับบาซิดก็เริ่มเสื่อมอำนาจและขาดความมีเอกภาพเมื่อการปกครองแบบกาหลิบกระจายไปยังสเปน
ซีเรีย อินเดียและแอฟริกาเหนือ ทำให้กาหลิบแห่งราชวงศ์อับบาซิดต้องหันไปพึ่งกำลังจากเผ่าพันธุ์
เซลจุก เตอร์ก ส่งผลให้พวกเซลจุกเตอร์กมีอำนาจขึ้นมาและยึดอำนาจจากราชวงศ์อับบาซิดได้เด็ดขาดเมื่อคริสต์ศตวรรษที่
13 และในปีค.ศ.1453
ผู้นำแห่งจักรวรรดิออตโตมันเตอร์กแห่งจักรวรรดิมุสลิมก็ตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลสำเร็จ
การขยายตัวของจักรวรรดิมุสลิมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ทำให้ดินแดนคาบสมุทรอาระเบีย
กลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลกตะวันตก เมืองใหญ่หลายเมือง เช่น แบกแดด ดามัสกัส
คอร์โดวาและอเล็กซานเดรีย กลายเป็นศูนย์กลางของพ่อค้าและช่างฝีมือตอบสนองความต้องการของจักรวรรดิมุสลิม จักรวรรดิไบแซนไทน์และยุโรปตะวันตก
จึงมีความมั่งคั่งและเป็นเป้าหมายของการรุกรานในยุคสงครามครูเสด
อารยธรรมมุสลิม
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5-11 ยุโรปตะวันตกกำลังอยู่ในยุคกลาง
แต่จักรวรรดิมุสลิมกลับเจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย
และมีส่วนสำคัญในการเสริมความก้าวหน้าของจักรพรรดิไบแซนไทน์อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของยุโรปตะวันตกในเวลาต่อมาด้วย
ศาสนาอิสลาม ระยะแรกของการเผยแพร่ศาสนามิได้ใช้วิธีการบังคับ
แต่ใช้วิธีการเก็บภาษีเพื่ออภิสิทธิ์ทางศาสนาจากพวกนอกศาสนา และห้ามพวกนอกศาสนารับราชการ
ทำให้คนนอกศาสนาหันมานับถือศาสนาอิสลามกันมาก
ลักษณะเด่นของการนับถือศาสนาอิสลาม คือ ไม่ว่าเชื้อชาติใดเมื่อเป็นชาวมุสลิมแล้ว จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทั้งด้านการเมือง สังคมและในสายตาของพระเจ้า
ศาสนาอิสลามจึงได้รับความนิยมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวมุสลิมสามารถสร้างจักรวรรดิยิ่งใหญ่ได้รวดเร็ว
ภาษา พระมะหะหมัดทรงห้ามการแปลคัมภีร์อัลกูรอานเป็นภาษาอื่น ชาวมุสลิมจึงต้องเรียนรู้ภาษาอาระบิก
เพื่อให้เข้าใจสัจจะในพระคัมภีร์
นอกนี้ความเสมอภาคในทางศาสนาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนให้ภาษาอาระบิกกลายเป็นภาษาสากลของโลก การศึกษาพระคัมภีร์ ผสมผสานเข้ากับหลักศาสนา ทำให้เกิดทั้งผลงานวรรณกรรมมากมาย
ปรัชญา เน้นการปรับคำสอนในคัมภีร์อัลกูรอานมาใช้ผสมผสานอธิบายความหมายของปรัชญากรีก-โรมัน เปอร์เซีย
อียิปต์ คริสเตียนและยิว
ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเจริญก้าวหน้ามาก่อนโลกอาหรับทั้งสิ้น นักปรัชญามุสลิมยอมรับว่า ปรัชญากรีก-โรมันเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้และความเข้าใจโลก
คำสอนทางศาสนาอิสลามเป็นประตูแห่งการเข้าถึงจิตใจและดวงวิญญาณ
การทำจิตใจให้สว่างก็เป็นหนทางแห่งการพบสัจจะที่พิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน
นักปราชญ์สำคัญของโลกมัสลิมในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และคริสต์ศตวรรษที่ 10 คือ อัล
คินดี ฟาราบี (al Kindi al Farabi)
และอาวินเซนนา (Avicenna)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ปรัชญามุสลิมเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งในสเปน
นักปรัชญาชื่อดังที่มีอิทธิพลต่อความคิดในยุโรปตะวันตกร่วมสมัย คือ อาแวรรอยช์
เดอ คอร์โดวา-Averroês de Cordoba
(กอบเกื้อ, 2528,
136)
วรรณกรรม
วรรณกรรมในโลกมุสลิมเป็นมรดกที่เต็มไปด้วยสีสันละเอียดอ่อนและจินตนาการที่มีชีวิตชีวา
อิทธิพลสำคัญของวรรณกรรมส่วนใหญ่มาจากวรรณคดีของเปอร์เซีย
ขณะที่อิทธิพลของวรรณคดีกรีกและโรมันแทบไม่มีเลย
วรรณกรรมสำคัญได้แก่ Book
of Kings ของ al
Firdausi (935-1020 AD.)
เป็นมหากาพย์เฉลิมฉลองความรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย วรรณกรรมเรื่อง Rubaiyat ของ Omar
Khayyam (1048-1124 AD.) เป็นวรรณกรรมถ่ายทอดความงดงามของวัฒนธรรมเปอร์เซีย
เน้นปรัชญาความคิดที่มีอิทธิพลต่อโลกอาหรับร่วมสมัยและThe
Arabian Nightsหรือ Book
of 1001 Nights
เขียนประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 เป็นวรรณกรรมที่มีชีวิตชีวา
บันทึกเรื่องราวความเป็นอยู่ของพลเมืองในดินแดนต่างๆที่จักรวรรดิมุสลิมแผ่ขยายอำนาจไปถึง
วิทยาการ ความเจริญด้านวิทยาการของจักรวรรดิมุสลิมมีดังนี้
ด้านคณิตศาสตร์ ชาวมุสลิมเป็นชนชาติแรกที่นำเลขศูนย์
( 0
) มาใช้ในวิชาคณิตศาสตร์และคิดค้นเลขอาระบิก
นักคณิตศาสตร์สำคัญคือal-Khawarizmi
(780-850 AD.)
ได้นำวิธีการคำนวณแบบกรีกและอินเดียมาผสมผสานกันเป็นวิชาพีชคณิต
ยุโรปตะวันตกได้นำวิชาการคำนวณของมุสลิมมาปรับปรุงใช้เป็นวิชาอื่นๆเช่นดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เป็นต้น
ด้านการแพทย์ ชาวมุสลิมได้รับความรู้ทางการแพทย์เบื้องต้นจากอารยธรรมกรีกสมัยเฮเลนนิสติก
แพทย์ที่มีชื่อเสียงคือ al
Razi (ด้านการปรุงยา
เป็นคนค้นพบโรคฝีดาษ)
และอะวิเซนนา (Avicenna ผู้พบเชื้อวัณโรค) ผลงานสำคัญของอะวิเซนนาคือ Canon ซึ่งเป็นสารานุกรมทางการแพทย์ที่ใช้ทั่วไปในยุโรปตะวันตกจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แพทย์มุสลิมรู้จักโรคกาฬโรค
การจัดตั้งโรงพยาบาล
ห้องสมุดแพทย์ ร้านขายยา การจัดสอบแพทย์ทั่วไปและศัลยกรรม
ด้านศิลปะ มีลักษณะเด่นจากการผสมผสานศิลปะหลายรูปแบบ สถาปัตยกรรมสำคัญคือมัสยิดในกรุงแบกแดด ดามัสกัสและเปอร์เซีย มัสยิดทุกแห่งมักมีลานน้ำพุกว้างเพื่อการชำระร่างกายก่อนเข้าทำพิธีทางศาสนา ลานน้ำพุมักล้อมรอบด้วยทางเดินใต้ชายคางดงาม ตัวมัสยิดมักมีลักษณะเป็นห้องโถงกว้าง
เรียบง่าย มีเพียงแท่นยืนอ่านพระคัมภีร์
หลังคามัสยิดทำเป็นรูปโดมคล้ายศิลปะไบแซนไทน์
แต่มีหอคอยเล็กๆ(Minarets)ข้างโดมสำหรับเป็นที่เรียกชาวมุสลิมมาเข้าทำพิธีสวดมนต์ตามเวลาประจำวัน มีการตกแต่งมัสยิดด้วยลวดลายอักขระ ลวดลายพันธุ์พฤกษาและลายเรขาคณิต ลวดลายต่างๆ อาจเขียนในพรมและเครื่องถ้วย อย่างไรก็ดีศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้เขียนรูปคนและสัตว์ในงานศิลปะ
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม พณิชยกรรมและหัตถกรรมเป็นที่มาของความมั่งคั่งแห่งจักรวรรดิมุสลิม
พ่อค้ามุสลิมมีความก้าวหน้าถึงขั้นใช้ระบบเช็คเงินสด ใบเสร็จรับเงิน จดหมายเครดิต
ตั้งบริษัทร่วมหุ้น
ตั้งสมาคมการค้า ฯลฯ
พ่อค้ามุสลิมเดินทางไปถึงรัสเซียตอนใต้
อินเดีย เปอร์เซีย แอฟริกาและยุโรป ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องแก้ว อัญมณี
เครื่องถ้วยและไหม คือ แบกแดด
ศูนย์กลางผ้าฝ้าย คือ โมซูล
ศูนย์กลางแห่งเหล็กกล้าและไหมคือดามัสกัส
ศูนย์กลางแห่งเครื่องหนังคือมอร็อกโค
ศูนย์กลางแห่งการผลิตอาวุธ คือ โตเลโด
นอกจากสินค้าเหล่านี้แล้วจักรวรรดิมุสลิมยังเป็นศูนย์กลางแห่งสินค้าฟุมเฟือย เช่น
น้ำหอม ผ้าลูกไม้ พรมและกระดาษด้วย (กอบเกื้อ, 2528, 136-138)
ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปตะวันออกกับจักรวรรดิมุสลิมและยุโรปตะวันตก
จักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิมุสลิม เริ่มมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของยุโรปตะวันตกหลายด้านประมาณคริสต์ศตวรรษที่
12 แม้ว่าชาวมุสลิมกับชาวยุโรปจะรบกันมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นยุคกลาง
แต่ทั้งยุโรปตะวันออกและยุโรปตะวันตกก็มิได้ไว้ใจกันเท่าใดนัก
ยุโรปตะวันตกนำความเจริญด้านการค้าและอุตสาหกรรม การใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย การคำนวณ
ปรัชญา
และการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
มาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และชาวมุสลิม
ด้านสถาปัตยกรรมมีการผสมผสานและดัดแปลงสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์เป็นศิลปะแบบโรมาเนสก์
(Romanesque) ของยุโรปตะวันตก
ด้านวรรณกรรมก็ได้รับอิทธิพลการเขียนร้อยแก้วจาก”พันหนึ่งทิวา” นอกจากนี้ภาษาอารบิกและภาษาเปอร์เซียบางคำยังปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกด้วยเช่น algebra bazaar zero
chaque เป็นต้น ขบวนการฟื้นฟูศิลปวิทยาการซึ่งเริ่มเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่
14 จนถึงระดับสูงสุดในคริสต์ศตวรรษที่
15 ล้วนได้รับอิทธิพลของอารยธรรมไบแซนไทน์และมุสลิมทั้งสิ้น
แบบฝึกหัดบทที่ 4
1.
การปกครองในข้อใดทำให้เกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)
ก. การปกครองแบบ Autocrat ข. การปกครองระบอบ Monarchy
ค. การปกครองแบบ Tretarchy ง. การปกครองแบบ Anarchy
2.
หลังจากเกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ ข้อใดเป็นรูปแบบการปกครองของจักรวรรดิดังกล่าว
ก. การปกครองแบบ Autocrat ข. การปกครองระบอบ Monarchy
ค. การปกครองแบบ Tretarchy ง. การปกครองแบบ Anarchy
3.
“โรมใหม่” หมายถึง ข้อใด
ก.อิตาลี ข. อเลกซานเดรีย
ค. คอนสแตนติโนเปิล ง. เซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก
4.
ข้อใด
มิใช่
พื้นที่ของจักรวรรดิโรมันตะวันออกในคริสต์ศตวรรษที่7
ก. ยุโรปตะวันออก ข. สองฝั่งของทะเลอีเจียน
ค. คาบสมุทรไอบีเรีย ง. เอเชียไมเนอร์
5.
ข้อใดเป็นการปกครองที่จักรพรรดิทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งทางจักรวรรดิและทางศาสนา
ก. การปกครองแบบ Autocrat ข. การปกครองระบอบ Monarchy
ค. การปกครองแบบ Tretarchy ง. การปกครองแบบ Anarchy
6.
จักรวรรดิโรมันตะวันออกใช้ภาษาอะไรในการสื่อสารอย่างเป็นทางการ
ก. ภาษากรีก ข. ภาษาละติน
ค. ภาษาสลาฟ ง. ภาษารัสเซีย
7.
คริสต์ศาสนาแบบ Christian Hellenism
มีศูนย์กลางที่ใด
ก. กรุงโรม ข. กรุงปารีส
ค. กรุงวาติกัน ง. กรุงคอนสแตนติโนเปิล
8.
ข้อใด
ไม่ ถูกต้องเกี่ยวกับการแพร่หลายของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์
ก. กรีก ข. รัสเซีย
ค. ยุโรปตะวันออก ง. ยุโรปตะวันตก
9.
ข้อใด
มิใช่ เมืองสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงจัดไว้เมื่อค.ศ.325
ก. เอเธนส์ ข. โรม
ค. อเล็กซานเดรีย ง. คอนสแตนติโนเปิล
10.ข้อใด
ไม่ ถูกต้อง
ก. Code
คือ กฎหมายที่ใช้มาแต่โบราณ
ข. Digest คือ ประมวลความเห็นทางกฎหมาย
ค. Institutes คือ ตำรากฎหมาย
ง.Novels คือ นิยายเรื่องยาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น