วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เทศกาลหน้ากากที่เวนิส(Mascara Carnival and Mask Dancing in Venice)


โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร


เมืองเวนิส
ยุคโรมันกลุ่มคนที่หนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางอ่าวที่รกร้างเงียบสงบ ใช้น้้าเป็นปราการป้องกันการบุกรุก
เมืองเติบโตขึ้นและขยายตัว ชาวเมืองตอกเสาเข็มไม้จ้านวนมากลงไปในทะเลซึ่งเป็นดินเลนอ่อนนุ่ม
จนสร้างบ้านขึ้นเป็นกลุ่มๆ
เกิดเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยเชื่อมต่อกันด้วยสะพานข้ามคลอง


หลังยุคโรมันล่มสลาย
เวนิสขยายตัวขึ้นเมื่อรัฐเล็กๆ แยกตัวเป็นอิสระปกครองตัวเอง
เก่งเรื่องการค้าทางทะเล มีกองเรือสินค้าใหญ่โตจนเป็นศูนย์กลางการค้าขายแถบทะเลเอเดรียติก
เป็นเมืองท่าของอิตาลีค้าขายกับพ่อค้าอาหรับก่อนใคร
เวนิสบ้านเกิดของ “มาร์โคโปโล” นักผจญภัยชื่อดังที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมไปถึงเมืองจีน
ท้าให้เกิดการถ่ายเทวัฒนธรรมจากตะวันออกสู่ตะวันตก
สปาเก็ตตี้ ของชาวอิตาเลียนมีต้นก้าเนิดมาจากเส้นบะหมี่ที่เมืองจีน


ยุครุ่งเรืองของเวนิส
เวนิสเจริญสูงสุดช่วงสงครามครูเสด ในฐานะเป็นจุดแวะพักของเหล่านักรบชาวคริสต์ท้าให้การค้าขายเจริญ
ผู้ปกครองอนุญาตให้ทหารครูเสดตั้งกองเรือ 500 ล้า เพื่อปล้นสะดมกรุงคอนสเตนดิโนเปิลและฆ่าชาวเมืองอย่างโหดเหี้ยม
เมืองเวนิสได้ส่วนแบ่ง 1 ใน 4 ของทรัพย์สิน ท้าให้กลายเป็นขุมทรัพย์ส้าคัญที่รวบรวมเอาเพชรนิลจินดาและงานศิลปะจากการปล้นสะดม
เบื้องหลังทรัพย์สินมหาศาล คือ เลือดเนื้อของผู้คนซึ่งสร้างบาดแผลในใจมาจนถึงทุกวันนี้
เวนิสจึงเป็นเสมือนหน้ากากที่ซุกซ่อนเรื่องราวไว้มากมาย


ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก เวนิส(Venice) หรือ “เวเนเซีย” (Venezia) ในภาษาอิตาลี
สวรรค์ของนักท่องเที่ยวปีละกว่า 3 ล้านคนจากทุกมุมโลกที่ต้องบันทึกรอยทรงจ้าไว้ในแผนการเดินทาง
เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองลอยน้้า ที่ประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากถึง 117 เกาะ เชื่อมติดต่อกันด้วยสะพาน กว่า 400 แห่ง
เป็นชุมชนขนาดใหญ่สวยงามและโรแมนติกริมคลอง(ที่เป็นน้าทะเล) ประมาณ 150 คลอง
โบสถ์มากถึง 56 แห่ง โรงละคร 7 โรง พระราชเก่าและพิพิธภัณฑ์อีก 4 แห่ง
-สิงห์มีปีกสัญลักษณ์ของเวนิส
-ศิลปะเวนิส คล้ายตึกไทยคู่ฟ้า ท้าเนียบรัฐบาล


ด้านหน้าวิหาร
จัตุรัสขนาดใหญ่ ศูนย์รวมของทุกอย่าง
„เวนิส‟ เป็นทั้งห้องรับแขกต้อนรับทุกคนที่ไปถึง จุดนัดพบ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สถานที่ชมโบราณสถาน ที่รวมตัวของศิลปินนัดวาด นักเขียน นักร้อง นักดนตรี ฯลฯ ที่มาแสดงอารมณ์สุนทรีผ่านงานหลากหลายรูปแบบ
นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ผ่านมาถึงจตุรัสซานมาร์โคทรงประทับใจกับความงดงามถึงขนาดออกปากว่าที่นี่คือ The finest drawing room in Europe. (ห้องรับแขกสวยที่สุดของยุโรป)
วังดูเคล (Palazzo Ducaleหรือ Doge's Palace) ของผู้ปกครองเวนิสในอดีต

-“สะพานสะอื้น”(Bridge of Sighs) ทอดข้ามคลองด้านหลังวังเจ้าเมือง


น้้าท่วมเวนิสทุกปี
สภาพบ้านเรือนของชาวเวนิส อาคารบ้านเรือน ตึกใหญ่โตทั้งหลายสร้างอยู่บนตอม่อล้วนๆ ไม่ได้มีผืนดินรองรับเลย
ดังนั้นเมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆและน้้าทะเลมีระดับสูงขึ้น เวนิสจึงประสบปัญหาน้้าท่วมแทบทุกปี
คาดกันว่าวันหนึ่งเวนิสอาจเป็นเมืองที่จมหายไปใต้ทะเล




ถ้าขี้เกียจเดิน
อยากจะนั่งบนเรือกอนโดลาสัญลักษณ์ของเวนิสก็เตรียมเงิน
ค่าฝีพายหล่อๆพร้อมเรือขนาด 6 ที่นั่งระหว่าง 80-200 ยูโรต่อคนขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจรจาต่อรองและท้าเลไหน
ถ้าเป็นคิวเรือแถวริมคลองใหญ่(Grand Canal)ก็แพง
อัตรานี้เป็นค่าบริการเพียง 30 นาที
นั่งจากปากคลองใหญ่ไปเที่ยวโบสถ์ซานตามาเรียที่อยู่ใกล้ๆก็แทบจะหมดเวลาแล้ว


การได้มีประสบการณ์นั่งเรือกอนโดลาเป็นสิ่งที่ต้องท้าสักครั้งในชีวิต
ไปถึงเวนิสแล้ว ถ้าไม่ได้นั่ง กอนโดลา ไม่ได้เข้าไปชม โบสถ์ซานมาร์โค (เซนต์มาร์ค) ไม่ได้ไปนั่งจิบกาแฟอร่อยที่ ร้านฟลอเรียน ข้างจตุรัส และไม่ได้ไปเดินเล่นถึง สะพานริอัลโต(Rialto)
ก็ยังไม่ถือว่าไปเที่ยวเวนิส
แต่แพงมาก +++


เสน่ห์เรือกอนโดลา
เมื่อก่อนการนั่งเรือกอนโดลาเลาะเลี้ยวไปตามซอกซอยคลองเล็กคลองน้อยในเวนิสนั้นมีเสน่ห์และเต็มเปี่ยมด้วยความโรแมนติกจริงๆ เพราะฝีพายหนุ่มหล่อนอกจากจะอวดหน้าตาให้ชื่นใจแล้วยังร้องเพลงกล่อมไปด้วยตลอดทาง
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวมากขึ้นต้องเร่งท้าเวลา คนพายเรือก็ไม่ค่อยร้องเพลงแล้ว
เล่าต้านานเรื่องเมืองและตึกส้าคัญสองฟากฝั่งที่เรือแล่นผ่านแทน



คนไทยฉลาดกว่า
ฝรั่งบางคนยอมจ่ายค่าเรือแพงๆเพื่อแลกกับ“ครั้งหนึ่งในชีวิต”
คนไทยฉลาดกว่า ประหยัดแล้วยังได้บรรยากาศการนั่งเรือเที่ยวคลองด้วย ใช้บริการเรือข้ามฝั่งคลองในจุดที่ไม่มีสะพานข้ามแทน
ค่าโดยสารเพียง 50 เซ็นต์ หรือไม่เกิน 1 ยูโร
ส่วนใหญ่เป็นเรือกอนโดลาเก่าที่ปลดระวางแล้ว เพียงแต่ระยะเวลานั่งอาจจะแค่ไม่กี่นาที
ปัจจุบันเรือกอนโดลาใกล้จะกลายเป็นต้านานของเวนิสไปแล้วเพราะช่างท้าเรือเหลืออยู่น้อยมากแทบจะนับคนได้

กอนโดลาทุกล้าออกจากอู่ต่อเรือแห่งเดียวที่เหลืออยู่ ซึ่งจะใช้เวลาสร้างล้าละ 4 เดือนและอายุใช้งานนาน 20 ปี ราคาพอๆกับรถเก๋งยุโรป 1 คัน
กอนโดลาจะมีขนาดและรูปลักษณ์เหมือนกันตามข้อบังคับของสภาเมืองเวนิสที่ให้ใช้เฉพาะสีด้าเท่านั้นเพื่อให้ขลังเข้ากับบรรยากาศของเมืองเป็นสัญลักษณ์ที่ยั่งยืนของเวนิสตลอดไป


บริการเรือเมล์มีหลายอัตรา เที่ยวเดียว 6 ยูโร ถ้าเป็นแบบกี่เที่ยวก็ได้ภายใน 12 ชั่วโมงราคา13 ยูโร
มีอัตราแบบ 24 ชม. 48 ชม. 72 ชม. ด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเดินเท้ามากกว่า







สะพานริอัลโต(Rialto)
เดิมเป็นสะพานไม้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันปรับปรุงซ่อมแซมใหม่เป็นสะพานหินแข็งแรง ที่มีความส้าคัญเพราะเป็นสะพานข้ามคลองใหญ่(Grand Canal)เพียงแห่งเดียวมายาวนานเป็นพันปี จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1854 จึงมีการสร้างสะพานแห่งใหม่เพิ่มขึ้น
จากสะพานแห่งนี้จะมองเห็นวิวสวยมุมกว้างสวยๆของคลองใหญ่ได้ดี และบริเวณรอบๆ สะพานจะมีร้านขายของที่ระลึกมากมายแถมยังอยู่ใกล้ตลาดสดด้วย ใครอยากได้บรรยากาศเที่ยวตลาดของฝรั่งก็ต้องไปเดินแถวนั้น


เทศกาลสวมหน้ากาก
งาน “เวนิส คาร์นิวัล” มีมาตั้งแต่ปี 1268 แล้ว
การเฉลิมฉลองโดยมีสวมหน้ากากรวมถึงแต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างอลังการเพิ่งจะมีขึ้นในเกือบสองร้อยปีให้หลัง เมื่อช่างท้าหน้ากากหรือ “mascareri” รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1436


หน้ากากกับวิถีชีวิตของชาวเวนิส
คริสต์ศตวรรษที่ 18 ถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองของการสวมหน้ากาก ชาวเวนิสสวมหน้ากากจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจ้าวัน คนในสาธารณรัฐเวนิสสวมหน้ากากออกจากบ้านถึงปีละ 8 เดือนท้าให้เมืองเวนิสเต็มไปด้วยเสน่ห์ลึกล้้า เมื่อผู้คนไม่ว่ายากดีมีจนซ่อนหน้าตาสถานะของตนไว้ภายใต้หน้ากาก และใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงแบบไม่ต้องแคร์ใคร
บางครั้งก็เพื่อมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยไม่กลัวว่าใครจะจำได้


การสิ้นสุดและการย้อนยุคของวัฒนธรรมหน้ากาก
หลังการยึดครองของกองทัพนโปเลียนในค.ศ. 1797 เมืองเวนิสกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลอมบาร์ดี-เวเนเทีย(Lambardi–Venetia) ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
นโปเลียนสั่งห้ามการจัดงานเฉลิมฉลองงานรื่นเริงเป็นเวลาหลายปี ผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หน้ากากเปเปอร์มาเช่เพื่อปกปิดหน้าตา และงานเต้นร้าสวมหน้ากากก็ถูกห้าม
ในทศวรรษที่ 1970 ประเพณีดังกล่าวถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มของอดีตนักศึกษาอคาเดมี ออฟ ไฟน์ อาร์ต (Academy of Fine Art)เปิดร้านขายหน้ากากสมัยใหม่แห่งแรกของกรุงเวนิสขึ้นในปี1978



หน้ากากที่สวมในคาร์นิวัลของเวนิส
หน้ากากแบบ Commedia dell'Arteซึ่งเป็นละครตลกในศตวรรษที่ 16-18 จะเป็นหน้ากากที่ท้าขึ้นตามตัวละครเช่นตัวตลกอย่าง ฮาร์เลควิน กับ ปิเอโรต์
หน้ากากแฟนตาซี ประดิษฐ์ขึ้นตามจินตนาการของช่างท้าหน้ากาก ส่วนใหญ่จะได้รับแรงบันดาลใจมาจากการศิลปะการออกแบบในประวัติศาสตร์
หน้ากากแบบดั้งเดิมของชาวเวนิส เช่น หน้ากากขาวปลายแหลมคล้ายปากนก ซึ่งเป็นหน้ากากที่พวกหมอเคยใช้ในสมัยที่กาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ช่วงศตวรรษที่ 14 และจะใส่สมุนไพรเอาไว้ที่ปลายแหลม เพื่อฆ่าเชื้อในอากาศที่สูดเข้าไป


Venetian Carnival Masks
Masks have always been a central feature of the Venetiancarnival; traditionally people were allowed to wear them between the festival of Santo Stefano (St. Stephen's Day, December 26) at the start of the carnival season and midnight of Shrove Tuesday. They have always been around Venice. As masks were also allowed during Ascensionand from October 5 to Christmas, people could spend a large proportion of the year in disguise . Maskmakers (mascherari) enjoyed a special position in society, with their own laws and their own guild.


Venetian masks
Venetian maskscan be made in leather or with the original papier-mâché technique. The original masks were rather simple in design and decoration and often had a symbolic and practical function. Nowadays, most of them are made with the application of gessoand gold leafand are all hand-painted using natural feathers and gems to decorate.


Bauta
Bauta isa "mask which covers the whole face, witha stubborn chin line, no mouth, and lots of gilding".
 One may find masks sold as Bautas that cover only the upper part of the face from the forehead to the nose and upper cheeks, thereby concealing identity but enabling the wearer to talk and eat or drink easily.
 It tends to be the main type of mask worn during the Carnival.




Bauta
It was used also on many other occasions asa device for hiding the wearer's identity and social status.
It would permit the wearer to act more freely in cases where he or she wanted to interact with other members of the society outside the bounds of identity and everyday convention.
It was thus useful fora variety of purposes, some of them illicit or criminal, others just personal, such as romantic encounters.


Moretta
The morettais an oval mask of black velvet that was usually worn by women visiting convents.
It was invented in France and rapidly became popular in Venice as it brought out the beauty of feminine features.
The mask was finished off with a veil, and was secured


Larva
The larva, also called the mask, is mainly white, and typically Venetian. It is worn with a tricornand cloak.
It is thought the word larvacomes from the Latin meaning "mask" or "ghost".
Like the bauta, the shape of the mask allowed the bearer to breathe and drink easily, and so there was no need to take it off, thus preserving anonymity.
These masks were made of fine wax cloth and so were much lighter and were not irritating to wear making them ideal for eating, dancing and flirting.


คาร์นิวัลสวมหน้ากากของชาวเวนิส
ถนนในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี คลาคล่้าไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกที่อยากจะสัมผัสกับมนตราแห่งศตวรรษที่ 18 ในเทศกาลสวมหน้ากากประจ้าปีของเมืองในปี2002"เวนิส คาร์นิวัล" เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในเที่ยงวันของวันอาทิตย์ (30มกราคม ) และจะมีไปเรื่อยๆจนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ แต่ก็มีหลายๆ คนเหมือนกันที่ร่วมฉลองเทศกาลล่วงหน้าในบรรยากาศชวนฝัน เมื่อค่้าวันเสาร์


เที่ยวเวนิสให้สนุกให้เดินทางไปในช่วงงานเทศกาลมาดิกราส์ หรือคาร์นิวัล ซึ่งเป็นประเพณีสวมหน้ากากที่เก่าแก่และสนุกสนานรื่นเริงมาก งานนี้จะมีขึ้น 41 วันก่อนอีสเตอร์ของทุกปี
ส้าหรับปี2008 เวนิสคาร์นิวัลจัดขึ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคมถึง 5 กุมภาพันธ์ 2551


Themeของงาน
เทศกาลคาร์นิวัลมักจัดขึ้นนานเป็นสัปดาห์
แต่ละปีจะจัดขึ้นภายใต้ธีมต่างๆ ไม่ซ้้ากันท้าให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองนับแสนต่างเฝ้าคอยที่จะชมความแปลกใหม่ที่จะเกิดขึ้นทุกปี
โดยในปีนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9-20 ก.พ. ที่ผ่านมา ภายใต้ธีม Carlo Goldoniซึ่งเป็นนามของนักประพันธ์บทละครชื่อดังของเวนิสในสมัยยุคบาโรก (Baroque)หรือประมาณ 400 ปีล่วงมา
ปี 2006 จัดภายใต้ธีม "The Dragon and the Lion"

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก Googleและ Wikipedia เป็นอย่างยิ่ง)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น